เราตัดสินใจแน่วแน่เพื่อการปกครองของพระเจ้า
เรื่องราวชีวิตจริง
เราตัดสินใจแน่วแน่เพื่อการปกครองของพระเจ้า
เล่าโดยมีคาล โซบรัก
หลังจากถูกขังเดี่ยวนานหนึ่งเดือน ผมถูกลากออกมาพบพนักงานสอบสวนคนหนึ่ง. ไม่นาน เขาก็หน้าแดงก่ำและตะโกนว่า “แกเป็นสายลับ! สายลับของพวกอเมริกัน!” อะไรทำให้เขาโกรธมากขนาดนั้น? เขาเพิ่งถามว่า ผมนับถือศาสนาอะไร และผมตอบว่า “ผมเป็นพยานพระยะโฮวา.”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นห้าสิบกว่าปีมาแล้ว. ในตอนนั้น ประเทศที่ผมอาศัยอยู่มีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์. อย่างไรก็ตาม งานด้านการศึกษาแบบคริสเตียนของเราประสบการต่อต้านอย่างรุนแรงมานานก่อนหน้านั้นแล้ว.
เรารู้สึกถึงผลกระทบอันเจ็บปวดของสงคราม
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มขึ้นในปี 1914 ผมอายุได้แปดขวบ. ในตอนนั้น หมู่บ้านของผมคือซาลูซิเชอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี. สงครามไม่ได้ทำให้ฉากของโลกสับสนวุ่นวายเท่านั้น แต่ยังทำให้ชีวิตวัยเด็กของผมสิ้นสุดลงอย่างกะทันหัน. คุณพ่อของผมซึ่งเป็นทหาร ได้เสียชีวิตในปีแรกของการสู้รบ. ทำให้คุณแม่, น้องสาวสองคน, และผมอยู่อย่างยากจนข้นแค้น. เนื่องจากเป็นลูกชายคนโต ไม่ช้าผมก็พบว่าต้องแบกภาระรับผิดชอบมากมายเกี่ยวกับงานในไร่เล็ก ๆ และงานรอบ ๆ บ้านของเรา. ผมเคร่งศาสนาตั้งแต่เด็ก ๆ. นักเทศน์ของคริสตจักรรีฟอร์ม (คาลวินิสต์) ขอให้ผมเป็นตัวแทนเขาและสอนเพื่อนนักเรียนในช่วงที่เขาไม่อยู่.
ในปี 1918 สงครามใหญ่ก็สิ้นสุดลง และพวกเราถอนหายใจด้วยความโล่งอก. จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีถูกล้มล้าง เราจึงกลายเป็นพลเมืองของสาธารณรัฐเชโกสโลวะเกีย. ไม่ช้า หลายคนในแถบที่เราอยู่ซึ่งอพยพไปสหรัฐก็เดินทางกลับบ้าน. ในหมู่คนเหล่านี้คือ มีคาล เพทริก ซึ่งกลับมา
ที่หมู่บ้านของเราในปี 1922. เมื่อเขามาเยี่ยมครอบครัวหนึ่งในละแวกบ้านของเรา คุณแม่และผมได้รับเชิญด้วย.การปกครองของพระเจ้ากลายเป็นจริงสำหรับเรา
มีคาลเป็นนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาในตอนนั้น เขาพูดเรื่องประเด็นสำคัญต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งทำให้ผมสนใจใคร่รู้. เรื่องที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาเรื่องต่าง ๆ คือเรื่องการมาแห่งราชอาณาจักรของพระยะโฮวา. (ดานิเอล 2:44) เมื่อเขาบอกว่า จะมีการประชุมคริสเตียนที่หมู่บ้านซาฮอร์ในวันอาทิตย์หน้า ผมตั้งใจว่าจะไป. ผมตื่นตี 4 และเดินไปบ้านญาติประมาณ 8 กิโลเมตรเพื่อขอยืมจักรยาน. หลังจากซ่อมยางที่แบนเสร็จแล้ว จึงถีบจักรยานต่อไปอีก 24 กิโลเมตรถึงหมู่บ้านซาฮอร์. ผมไม่รู้เลยว่าเขาจะจัดการประชุมที่ไหน ดังนั้น ผมจึงถีบจักรยานช้า ๆ ไปตามถนนสายหนึ่ง. ครั้นแล้วก็จำเสียงเพลงราชอาณาจักรที่กำลังร้องในบ้านหลังหนึ่งได้. หัวใจผมเต้นด้วยความยินดี. ผมเข้าไปในบ้านและอธิบายว่าทำไมจึงมาที่นั่น. พวกเขาเชิญผมให้ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน แล้วก็พาไปยังการประชุม. แม้ผมต้องถีบจักรยานและเดินกลับบ้านรวมแล้วมากกว่า 32 กิโลเมตร แต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว.—ยะซายา 40:31.
คำอธิบายอันชัดเจนโดยอาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักของพยานพระยะโฮวาดึงดูดใจผม. ความคาดหวังที่จะชื่นชมยินดีอย่างแท้จริงและมีชีวิตที่น่าพอใจภายใต้การปกครองของพระเจ้าเป็นเรื่องที่ประทับใจผมอย่างยิ่ง. (บทเพลงสรรเสริญ 104:28) คุณแม่และผมตัดสินใจยื่นจด-หมายลาออกจากคริสตจักร. การทำเช่นนี้ก่อให้เกิดหัวข้อถกเถียงไปทั่วหมู่บ้านของเรา. บางคนไม่พูดกับเราไประยะหนึ่ง กระนั้น เรามีการคบหาสมาคมที่ดีกับพยานฯ หลายคนในแถบนี้. (มัดธาย 5:11, 12) ไม่นาน ผมก็รับบัพติสมาในแม่น้ำอู.
งานรับใช้กลายเป็นวิถีชีวิตของเรา
เราใช้ทุกโอกาสเพื่อประกาศเรื่องราชอาณาจักรของพระยะโฮวา. (มัดธาย 24:14) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราเน้นการรณรงค์เพื่อการประกาศในวันอาทิตย์โดยมีการจัดระบบระเบียบอย่างดี. โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนในสมัยนั้นตื่นแต่เช้าตรู่ ดังนั้นเราจึงสามารถเริ่มประกาศได้แต่เช้า. บ่ายวันนั้นก็มีการจัดการประชุมสาธารณะขึ้น. ผู้สอนคัมภีร์ไบเบิลส่วนใหญ่บรรยายแบบกลอนสด. ในคำบรรยาย พวกเขาคำนึงถึงจำนวนผู้สนใจ, ภูมิหลังทางศาสนา, และประเด็นที่ผู้คนเป็นห่วง.
ความจริงจากคัมภีร์ไบเบิลที่เราประกาศทำให้ผู้มีหัวใจสุจริตหลายคนตาสว่าง. ไม่นานหลังจากรับบัพติสมา ผมประกาศในหมู่บ้านโทรห์วิชเต. ที่บ้านหลังหนึ่ง ผมคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่กรุณาและเป็นมิตรอย่างยิ่ง เธอชื่อ ซูซานนา มอสกัล. เธอและครอบครัวเป็นคาลวินิสต์เหมือนที่ผมเคยเป็น. แม้เธอจะคุ้นเคยกับคัมภีร์ไบเบิล แต่ก็มีคำถามมากมายเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลที่ยังไม่ได้คำตอบ. เราสนทนากันนานนับชั่วโมง และผมให้หนังสือพิณของพระเจ้า แก่เธอ. *
ครอบครัวมอสกัลรวมเอาการอ่านหนังสือพิณ เข้ากับการอ่านคัมภีร์ไบเบิลประจำครอบครัวทันที. หลายครอบครัวในหมู่บ้านแสดงความสนใจและเริ่มเข้าร่วมการประชุมของเรา. นักเทศน์คาลวินิสต์ประกาศคำเตือนอันแข็งกร้าวต่อต้านเราและสรรพหนังสือของเรา. ต่อมา ผู้สนใจบางคนแนะให้นักเทศน์มาที่การประชุมของเรา เพื่อพิสูจน์หักล้างคำสอนของเราในการโต้วาทีต่อหน้าทุกคน.
นักเทศน์มาที่การประชุม แต่เขาไม่สามารถยกข้อโต้แย้งแม้แต่ข้อเดียวจากคัมภีร์ไบเบิลเพื่อสนับสนุนคำสอนของเขา. เพื่อปกป้องตัวเอง เขากล่าวว่า “เราไม่อาจเชื่อทุกสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล. มันเป็นหนังสือที่มนุษย์เขียนขึ้น อีกทั้งคำถามทางศาสนาสามารถอธิบายได้ในแบบที่ต่างออกไป.” นี่เป็นจุดหักเหสำหรับหลายคน. บางคนบอกว่า ถ้านักเทศน์ไม่เชื่อในคัมภีร์ไบเบิล พวกเขาก็จะไม่ฟังคำเทศน์อีกต่อไป. ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงลาออกจากคริสตจักรคาลวินิสต์ และมีประมาณ 30 คนจากหมู่บ้านดังกล่าวที่ยืนหยัดอยู่ฝ่ายความจริงในคัมภีร์ไบเบิล.
การประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรกลายเป็นวิถีชีวิตของเรา ดังนั้น เป็นธรรมดาที่ผมจะมองหาคู่ชีวิตจาก
ครอบครัวที่เข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ. หนึ่งในเพื่อนร่วมทำงานรับใช้ของผมคือ ยาน เพทรุชกา ซึ่งเรียนความจริงในสหรัฐ. ผมประทับใจลูกสาวของเขาที่ชื่อมาเรีย เนื่องจากเธอคล้ายกับบิดาของเธอในเรื่องความพร้อมที่จะให้คำพยานกับทุกคน. ในปี 1936 เราแต่งงานกัน และมาเรียเป็นคู่ชีวิตที่ซื่อสัตย์ของผมนานถึง 50 ปี จนกระทั่งเธอเสียชีวิตในปี 1986. ในปี 1938 เอดูอาร์ด ลูกชายคนเดียวของเราก็เกิดมา. แต่ในช่วงนั้น สงครามอีกอย่างหนึ่งในยุโรปดูเหมือนจวนจะเกิดขึ้น. สงครามนั้นจะส่งผลกระทบเช่นไรต่องานของเรา?ความเป็นกลางแบบคริสเตียนของเราถูกทดสอบ
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้น สโลวะเกียซึ่งกลายเป็นประเทศที่แยกออกมาต่างหากตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกนาซี. กระนั้น ไม่มีการกระทำใด ๆ โดยเฉพาะของรัฐบาลเพื่อต่อต้านพยานพระยะโฮวาในฐานะองค์การ. แน่นอน เราต้องทำงานอย่างลับ ๆ อีกทั้งสรรพหนังสือของเราก็ถูกตรวจสอบ. กระนั้น เราทำงานต่อไปอย่างสุขุม.—มัดธาย 10:16.
เมื่อสงครามรุนแรงขึ้น ผมถูกเกณฑ์เข้ากองทัพแม้จะอายุมากกว่า 35 ปีแล้วก็ตาม. เนื่องจากรักษาความเป็นกลางแบบคริสเตียน ผมจึงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในสงคราม. (ยะซายา 2:2-4) น่ายินดี ก่อนเจ้าหน้าที่ตัดสินว่าจะทำอย่างไรกับผม ทุกคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมถูกปล่อยตัว.
เราตระหนักว่า พี่น้องที่อยู่ในเมืองจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตได้ยากกว่าพวกเราซึ่งอยู่ในเขตชนบท. เราต้องการแบ่งปันสิ่งที่เรามี. (2 โกรินโธ 8:14) ด้วยเหตุนี้ เราจึงขนอาหารมากเท่าที่เราสามารถขนไปได้และเดินทางไกลกว่า 500 กิโลเมตรข้ามประเทศไปยังบราทิสลาวา. สายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพและความรักแบบคริสเตียนที่เราก่อขึ้นในช่วงสงคราม ช่วยเกื้อหนุนเราในช่วงหลายปีอันยากลำบากที่รอเราอยู่ข้างหน้า.
ได้รับการหนุนใจที่จำเป็น
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สโลวะเกียเป็นส่วนหนึ่งของเชโกสโลวะเกียอีกครั้ง. นับตั้งแต่ปี 1946 จนถึงปี 1948 มีการจัดการประชุมภาคของพยานพระยะโฮวาทั่วประเทศทั้งในเมืองเบอร์โนและในกรุงปราก. พวกเราเดินทางจากสโลวะเกียตะวันออกโดยรถไฟขบวนพิเศษที่จัดขึ้นเพื่อตัวแทนที่จะเข้าร่วมการประชุมภาค. คุณอาจเรียกรถไฟขบวนนี้ว่า รถไฟร้องเพลง เพราะพวกเราร้องเพลงตลอดทาง.—กิจการ 16:25.
การประชุมภาคที่ผมจำได้เป็นพิเศษคือ การประชุมภาคปี 1947 ที่เมืองเบอร์โน ซึ่งเป็นการประชุมที่มีผู้ดูแลคริสเตียนจากสำนักงานใหญ่สามคนเข้าร่วมด้วย รวมไปถึงบราเดอร์ นาทาน เอช. นอรร์. เพื่อจะโฆษณาคำบรรยาย
สาธารณะ พวกเราหลายคนเดินรอบเมืองพร้อมทั้งคล้องแผ่นป้ายประกาศทั้งหน้าและหลังเพื่อแจ้งอรรถบทของคำบรรยาย. เอดูอาร์ด ลูกชายของเราซึ่งอายุแค่เก้าขวบในตอนนั้น รู้สึกเสียใจมากที่ไม่ได้แขวนแผ่นป้าย. ดังนั้น พี่น้องจึงไม่เพียงทำป้ายแขวนเล็ก ๆ อันหนึ่งให้เขาเท่านั้น แต่ยังทำอีกหลายแผ่นให้เด็กคนอื่นด้วย. เด็กกลุ่มนี้โฆษณาคำบรรยายได้เป็นอย่างดี!ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1948 พวกคอมมิวนิสต์ขึ้นครองอำนาจ. เรารู้ว่าไม่ช้าก็เร็ว รัฐบาลจะดำเนินการสั่งห้ามงานประกาศของเรา. เดือนกันยายนปี 1948 มีการจัดการประชุมภาคขึ้นในกรุงปราก และเรามีใจแรงกล้าเมื่อเราคาดหมายล่วงหน้าว่า จะมีการสั่งห้ามการชุมนุมกันอย่างเปิดเผยของเราหลังจากที่มีอิสระในการประชุมได้เพียงสามปี. ก่อนออกไปจากการประชุมภาค เรารับเอามติหนึ่งที่กล่าวในบางส่วนว่า “เรา พยานพระยะโฮวา ที่ได้มาประชุมร่วมกัน . . . ตั้งใจแน่วแน่ที่จะเพิ่มพูนงานรับใช้ซึ่งทำให้ได้รับพระพรให้มากยิ่งขึ้น และโดยทางพระกรุณาอันไม่พึงได้รับขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราตั้งใจแน่วแน่ที่จะบากบั่นพยายามทั้งในยามนี้และยามยากลำบาก และเราตั้งใจแน่วแน่ที่จะประกาศกิตติคุณเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าด้วยใจแรงกล้ามากยิ่งขึ้น.”
“ศัตรูของรัฐ”
เพียงสองเดือนหลังการประชุมภาคที่กรุงปราก ตำรวจลับได้เข้าตรวจค้นบ้านเบเธลใกล้กรุงปราก. พวกเขายึดทรัพย์สิน, ริบสรรพหนังสือใด ๆ ก็ตามที่พบ, และจับกุมสมาชิกครอบครัวเบเธลทุกคนรวมทั้งพี่น้องชายคนอื่นบางคนด้วย. แต่ยังมีอีกมากที่เราต้องเจอ.
ระหว่างคืนวันที่ 3 และ 4 กุมภาพันธ์ 1952 กองกำลังรักษาความปลอดภัยกวาดล้างทั้งประเทศและจับกุมพยานฯ มากกว่า 100 คน. ผมเป็นหนึ่งในพวกที่ถูกจับด้วย. ประมาณตีสาม ตำรวจปลุกทุกคนในครอบครัวของผม. เขาบอกให้ผมไปกับพวกเขาโดยไม่มีการอธิบายใด ๆ ทั้งสิ้น. ผมถูกใส่กุญแจมืออีกทั้งถูกปิดตา และถูกโยนขึ้นหลังรถบรรทุกรวมกับอีกหลาย ๆ คน. ท้ายที่สุด ผมถูกขังเดี่ยว.
ตลอดทั้งเดือนผ่านไปโดยไม่มีใครสักคนพูดกับผม. คนเดียวที่ผมเห็นคือยามที่ส่งอาหารอันน้อยนิดผ่านทางช่องประตู. ครั้นแล้ว ผมก็ถูกเรียกตัวโดยพนักงานสอบสวนที่กล่าวถึงในตอนต้น. หลังจากที่หาว่าผมเป็นสายลับ เขากล่าวต่อไปว่า “ศาสนาเป็นเรื่องโง่ ๆ. ไม่มีพระเจ้าจริง ๆ หรอก! เราไม่ยอมให้แกหลอกลวงชนชั้นแรงงานของเรา. แกจะถูกแขวนคอหรือตายอยู่ในคุกนี่แหละ. และถ้าพระเจ้าของแกมาที่นี่ล่ะก็ เราจะฆ่าทิ้งเสียด้วย!”
เนื่องจากพวกเจ้าหน้าที่รู้ว่า ไม่มีกฎหมายเฉพาะเจาะจงที่ห้ามกิจกรรมของคริสเตียน พวกเขาต้องการนิยามกิจกรรมของเราเสียใหม่ให้เหมาะกับกฎหมายที่มีอยู่ โดยพรรณนาว่าเราเป็น “ศัตรูของรัฐ” และเป็นสายลับของพวกต่างชาติ. เพื่อที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาจำเป็นต้องทำลายความมุ่งมั่นของเรา และต้องการให้เรา “ยอมรับ” ข้อกล่าวหาเท็จ. หลังจากถูกสอบสวนในคืนนั้น ผมไม่ได้รับอนุญาตให้นอนหลับ. ภายในไม่กี่ชั่วโมง ผมถูกสอบสวนอีกครั้ง. คราวนี้ พนักงานสอบสวนต้องการให้ผมเซ็นคำแถลงที่บอกว่า “ข้าพเจ้าเป็นศัตรูของประชาธิปไตยของประชาชนแห่งเชโกสโลวะเกีย ซึ่งไม่ยอมเข้าร่วมกับ [ฟาร์มของชุมชน] เนื่องจากข้าพเจ้ากำลังคอยพวกอเมริกัน.” เมื่อผมไม่ยอมเซ็นคำโกหกนี้ ผมถูกส่งไปห้องขังดัดนิสัย.
เขาห้ามไม่ให้ผมหลับ, นอน, หรือแม้แต่จะนั่ง. ผมทำได้แค่ยืนหรือเดิน. เมื่อผมรู้สึกอ่อนล้า ผมจึงนอนลงบนพื้นคอนกรีต. ผู้คุมจึงพาผมกลับไปที่
ห้องสอบสวน. พนักงานสอบสวนถามว่า “ตอนนี้คุณจะเซ็นได้รึยัง?” เมื่อผมปฏิเสธ เขาตบหน้าผมจนเลือดกำเดาไหล. แล้วเขาก็สั่งผู้คุมด้วยเสียกร้าวว่า “เขาอยากฆ่าตัวตาย. เฝ้าไว้ให้ดี ๆ!” ผมถูกส่งกลับไปขังเดี่ยวอีก. เป็นเวลาหกเดือนที่มีการสอบสวนแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกในหลายโอกาส. การโน้มน้าวความคิดหรือความพยายามต่าง ๆ ไม่มีทางทำให้ผมยอมรับว่า ผมเป็นศัตรูของรัฐ ซึ่งจะทำให้ความตั้งใจที่จะรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระยะโฮวาลดน้อยลง.หนึ่งเดือนก่อนที่ผมจะขึ้นศาล อัยการคนหนึ่งมาจากกรุงปรากได้สอบสวนพี่น้องของเราแต่ละคนในกลุ่มซึ่งมีอยู่ 12 คน. เขาถามผมว่า “คุณจะทำอย่างไรถ้าพวกจักรวรรดินิยมตะวันตกโจมตีประเทศของเรา?” “ผมจะทำในสิ่งที่ผมได้ทำเมื่อประเทศนี้ร่วมมือกับฮิตเลอร์โจมตีสหภาพโซเวียต. ตอนนั้นผมไม่ได้เข้าร่วมในการสู้รบ และตอนนี้ผมก็จะไม่เข้าร่วมเพราะผมเป็นคริสเตียนและเป็นกลาง.” แล้วเขาก็บอกผมว่า “เราไม่ยอมผ่อนผันให้พวกพยานพระยะโฮวาหรอก. เราต้องการทหารเมื่อพวกจักรวรรดินิยมตะวันตกโจมตีเรา และเราต้องการทหารเพื่อปลดปล่อยชนชั้นแรงงานของเราที่อยู่ในประเทศทางตะวันตก.”
วันที่ 24 กรกฎาคม 1953 เราถูกพาตัวเข้าไปในห้องพิจารณาคดี. พวกเรา 12 คนถูกเรียกตัวมาทีละคนให้มาอยู่ต่อหน้าคณะผู้พิพากษา. เราฉวยโอกาสให้คำพยานเกี่ยวกับความเชื่อของเรา. หลังจากให้การต่อข้อกล่าวหาเท็จที่ถาโถมเข้าใส่เรา ทนายความคนหนึ่งลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเคยเข้ามาในห้องพิจารณาคดีนี้หลายครั้ง. ตามปกติแล้ว จะมีการสารภาพ, การกลับใจ, และกระทั่งการหลั่งน้ำตามากมาย. แต่เมื่อคนพวกนี้ออกจากที่นี่ไปพวกเขาจะเข้มแข็งกว่าตอนที่พวกเขาเดินเข้ามาด้วยซ้ำ.” หลังจากนั้น เราทั้งหมด 12 คนถูกประกาศว่ามีความผิดฐานคิดกบฏต่อรัฐ. ผมถูกพิพากษาจำคุกสามปีและทรัพย์สินทั้งหมดถูกริบเป็นของรัฐ.
ความชราไม่อาจขัดขวางผมได้
หลังจากกลับบ้าน ผมยังคงถูกพวกตำรวจลับเฝ้าจับตาดู. แม้จะเป็นอย่างนั้น ผมทำกิจกรรมตามระบอบของพระเจ้าอย่างเดิม และได้รับมอบหมายให้ดูแลสิ่งฝ่ายวิญญาณในประชาคมของเรา. แม้ว่าเราได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในบ้านที่ถูกยึด แต่ในอีกประมาณ 40 ปีต่อมา บ้านหลังนี้ก็กลับมาเป็นของเราอย่างถูกต้องตามกฎหมายหลังจากลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลาย.
ผมไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวคนสุดท้ายที่ถูกจำคุก. ผมกลับมาบ้านได้เพียงสามปีเท่านั้น เมื่อเอดูอาร์ดถูกเกณฑ์เข้ากองทัพ. เนื่องจากสติรู้สึกผิดชอบที่ได้รับการฝึกโดยทางคัมภีร์ไบเบิล เขาจึงปฏิเสธและถูกจำคุก. หลายปีต่อมา ปีเตอร์ซึ่งเป็นหลานชายของผมก็มีประสบการณ์อย่างเดียวกันนี้ทั้ง ๆ ที่เขาสุขภาพไม่ดี.
ในปี 1989 การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ในเชโกสโลวะเกียล่มสลาย. ผมรู้สึกมีความสุขจริง ๆ ที่สามารถประกาศตามบ้านได้อย่างอิสระหลังจากถูกสั่งห้ามนานถึงสี่ทศวรรษ! (กิจการ 20:20) ผมเพลิดเพลินกับงานรับใช้แบบนี้เท่าที่สุขภาพของผมอำนวยให้. ตอนนี้ผมอายุ 98 ปี สุขภาพไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมรู้สึกยินดีที่ยังสามารถให้คำพยานแก่ผู้คนเกี่ยวกับคำสัญญาอันรุ่งโรจน์ของพระยะโฮวาสำหรับอนาคต.
ผมสามารถนับเหล่าประมุขของประเทศต่าง ๆ ห้าประเทศรวมทั้งหมด 12 คนที่ขึ้นมาปกครองบ้านเกิดเมืองนอนของผม. มีทั้งเผด็จการ, ประธานาธิบดี, และกษัตริย์. ไม่มีใครสักคนมีวิธีแก้ปัญหาถาวรสำหรับความยุ่งยากซึ่งสร้างความยากลำบากแก่ประชาชนที่พวกเขาปกครอง. (บทเพลงสรรเสริญ 146:3, 4) ผมรู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาที่ทรงให้ผมมีโอกาสรู้จักพระองค์ตั้งแต่ช่วงต้น ๆ ของชีวิต. ด้วยเหตุนี้ ผมจึงสามารถหยั่งรู้ค่าการแก้ปัญหาของพระองค์โดยทางราชอาณาจักรมาซีฮา และหลีกเลี่ยงความไร้ประโยชน์ของชีวิตที่ไม่หมายพึ่งพระเจ้า. ผมประกาศข่าวที่ดีที่สุดอย่างกระตือรือร้นมากกว่า 75 ปี และการทำเช่นนี้ทำให้ผมมีชีวิตที่มีจุดมุ่งหมาย, มีความอิ่มใจพอใจ, และมีความหวังอันสดใสในเรื่องชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลก. ผมยังต้องการอะไรอีกล่ะ? *
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 14 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา แต่ปัจจุบันงดพิมพ์แล้ว.
^ วรรค 38 น่าเศร้า ในที่สุดบราเดอร์มีคาล โซบรักก็หมดกำลังวังชา. เขาเสียชีวิตอย่างคนซื่อสัตย์ด้วยความเชื่อมั่นในการกลับเป็นขึ้นจากตายขณะมีการเตรียมจะพิมพ์บทความนี้.
[ภาพหน้า 26]
ไม่นานหลังวันแต่งงาน
[ภาพหน้า 26]
กับเอดูอาร์ดในช่วงต้นทศวรรษ 1940
[ภาพหน้า 27]
โฆษณาการประชุมภาคที่เมืองเบอร์โนในปี 1947