คุณเข้าสู่การหยุดพักของพระเจ้าแล้วไหม?
คุณเข้าสู่การหยุดพักของพระเจ้าแล้วไหม?
“พระคำของพระเจ้ามีชีวิต ทรงพลัง.”—ฮีบรู 4:12
1. วิธีหนึ่งที่เราจะสามารถเข้าสู่การหยุดพักของพระเจ้าในทุกวันนี้ได้คืออะไร แต่เหตุใดนั่นอาจเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก?
ในบทความที่แล้ว เราเห็นว่าเราสามารถเข้าสู่การหยุดพักของพระเจ้าได้ด้วยการพร้อมจะทำการงานที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์. นั่นอาจเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก. ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเรียนรู้ว่าพระยะโฮวาไม่พอพระทัยบางสิ่งที่เราชอบ ในตอนแรกเราอาจไม่อยากเชื่อฟังพระองค์. นั่นแสดงว่าเราจำเป็นต้องปรับปรุงในเรื่องการเป็นคนที่ “พร้อมจะเชื่อฟัง.” (ยโก. 3:17) ในบทความนี้ เราจะพิจารณาบางขอบเขตที่ความเต็มใจของเราในการประพฤติสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า หรือการเชื่อฟังจากหัวใจ อาจถูกทดสอบ.
2, 3. เราต้องพยายามทำอะไรต่อ ๆ ไปเพื่อจะเป็นที่น่าปรารถนาเสมอในสายพระเนตรของพระยะโฮวา?
2 คุณพร้อมจะตอบรับคำแนะนำตามหลักพระคัมภีร์ไหม? พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าทรงประสงค์ที่จะรวบรวม “สิ่งน่าปรารถนาจากชาติทั้งปวง” ให้เข้ามาหาพระองค์. (ฮาฆี 2:7, ล.ม.) แน่นอน เมื่อเราเริ่มเรียนความ จริงใหม่ ๆ พวกเราส่วนใหญ่มีนิสัยที่ไม่น่าปรารถนา. อย่างไรก็ตาม ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและพระบุตรที่รักของพระองค์กระตุ้นเราให้เปลี่ยนแปลงทัศนคติและนิสัยของเราอย่างมากเพื่อพระเจ้าจะทรงพอพระทัยเราได้อย่างแท้จริง. ในที่สุด หลังจากที่เราอธิษฐานและพยายามอย่างมาก เรารู้สึกปีติยินดีเมื่อถึงวันที่เราสามารถรับบัพติสมา.—อ่านโกโลซาย 1:9, 10
3 อย่างไรก็ตาม การต่อสู้เพื่อเอาชนะความไม่สมบูรณ์ไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อเรารับบัพติสมา. เราต้องต่อสู้ต่อ ๆ ไปตราบเท่าที่เรายังเป็นคนไม่สมบูรณ์. แต่เรามั่นใจได้ว่า ถ้าเราพยายามต่อสู้อยู่เสมอและตั้งใจแน่วแน่จะเป็นที่น่าปรารถนายิ่งขึ้นในสายพระเนตรของพระเจ้า พระยะโฮวาจะอวยพรความพยายามของเรา.
เมื่อจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำ
4. เราอาจได้รับคำแนะนำตามหลักพระคัมภีร์จากสามทางอะไร?
4 ก่อนจะแก้ไขข้อบกพร่องของเราได้ เราต้องรู้ก่อนว่าเรามีข้อบกพร่องอะไรบ้าง. คำบรรยาย ณ หอประชุมราชอาณาจักรที่ช่วยตรวจสอบหัวใจเราหรือบทความที่กระตุ้นความคิดในหนังสือของเราอาจเผยให้เห็นว่าเรามีข้อบกพร่องที่ร้ายแรง. แต่ถ้าเราไม่ทันสังเกตจุดดังกล่าวในคำบรรยายหรือไม่ได้นำคำแนะนำที่อยู่ในหนังสือมาใช้เป็นส่วนตัว พระยะโฮวาอาจใช้เพื่อนคริสเตียนเพื่อเตือนเราให้มองเห็นข้อบกพร่องของเรา.—อ่านกาลาเทีย 6:1
5. จงกล่าวถึงปฏิกิริยาที่ไม่พึงปรารถนาบางอย่างที่เราอาจแสดงออกมาเมื่อได้รับคำแนะนำ และอธิบายว่าทำไมคริสเตียนผู้บำรุงเลี้ยงต้องเพียรพยายามต่อไปในการช่วยเรา.
5 การยอมรับคำแนะนำจากมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะมีการให้คำแนะนำอย่างผ่อนหนักผ่อนเบาและเปี่ยมด้วยความรักสักเพียงไรก็ตาม. กระนั้น ดังที่กาลาเทีย 6:1 ชี้ให้เห็น พระยะโฮวาทรงบัญชา ให้คนที่มีคุณสมบัติฝ่ายวิญญาณ “พยายาม” ปรับเปลี่ยนแก้ไขเรา และให้ทำอย่างนั้น “ด้วยใจอ่อนโยน.” ถ้าเราตอบรับ เราจะเป็นที่น่าปรารถนามากยิ่งขึ้นในสายพระเนตรพระเจ้า. เป็นเรื่องน่าแปลก เมื่อเราอธิษฐาน เรายอมรับอย่างเต็มที่ว่าเรามีข้อบกพร่อง. แต่เมื่อมีใครชี้ให้เราสังเกตข้อบกพร่องบางอย่างของเรา เรามีแนวโน้มที่จะพยายามแก้ตัว พยายามทำให้ปัญหานั้นดูเป็นเรื่องเล็กน้อย สงสัยเจตนาของคนที่แนะนำ หรือไม่เห็นด้วยกับวิธีให้คำแนะนำ. (2 กษัต. 5:11) และถ้าคำแนะนำนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรารู้สึกอ่อนไหวเป็นพิเศษ เช่น การกระทำของคนในครอบครัวเรา การแต่งกายและการประดับตัวของเรา สุขอนามัยส่วนตัวของเรา หรือรูปแบบนันทนาการที่เราชอบแต่พระยะโฮวาทรงเกลียดชัง เราอาจแสดงปฏิกิริยาไม่ค่อยดี ซึ่งเราเองก็ยังแปลกใจที่แสดงปฏิกิริยาอย่างนั้นและทำให้คนที่ให้คำแนะนำเรารู้สึกท้อใจ! แต่หลังจากที่เราสงบสติอารมณ์แล้ว เรามักยอมรับว่าคำแนะนำนั้นเหมาะสม.
6. พระคำของพระเจ้าเผยให้เห็น “ความคิดและความมุ่งหมายในใจ” อย่างไร?
6 ข้อคัมภีร์หลักของบทความนี้เตือนเราให้ระลึกว่าพระคำของพระเจ้า “ทรงพลัง.” ใช่แล้ว พระคำของพระเจ้ามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน. พระคำนี้มีประสิทธิภาพในการช่วยเราแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามที่จำเป็นหลังจากที่เรารับบัพติสมาแล้วเช่นเดียวกับที่ช่วยเราทำอย่างนั้นก่อนจะรับบัพติสมา. ในจดหมายที่เขียนถึงคริสเตียนชาวฮีบรู เปาโลเขียนด้วยว่าพระคำของพระเจ้า “แทงทะลุถึงขนาดที่แยกออกระหว่างตัวตนที่เห็นกับตัวตนจริง ๆ และระหว่างกระดูกกับไขกระดูก และสามารถหยั่งรู้ความคิดและความมุ่งหมายในใจ.” (ฮีบรู 4:12) กล่าวอีกอย่างคือ เมื่อเราเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเราอย่างชัดเจน วิธีที่เราตอบสนองต่อพระประสงค์นั้นเผยให้เห็นว่าตัวตนในส่วนลึกของเราเป็นเช่นไร. มีบางครั้งไหมที่ตัวตนที่เห็นกับตัวตนจริง ๆ ของเราแตกต่างกัน? (อ่านมัดธาย 23:27, 28) ขอให้พิจารณาว่าคุณ จะมีปฏิกิริยาอย่างไรในสถานการณ์ต่อไปนี้.
ก้าวให้ทันองค์การของพระยะโฮวา
7, 8. (ก) อะไรอาจกระตุ้นคริสเตียนชาวยิวบางคนให้ยึดมั่นกับกิจปฏิบัติบางอย่างตามพระบัญญัติของโมเซ? (ข) เหตุใดเราอาจกล่าวได้ว่าพวกเขาทำอย่างที่ขัดกับพระประสงค์ของพระยะโฮวา?
7 หลายคนอาจบอกข้อความจากสุภาษิต 4:18 ได้โดยไม่ต้องเปิดพระคัมภีร์ ที่ว่า “วิถีของผู้ชอบธรรมนั้นเหมือน ดังแสงอรุณ, ซึ่งกล้าขึ้นทุกทีจนถึงเที่ยงวัน.” ข้อนี้หมายความว่าการกระทำของเราและความเข้าใจเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป.
8 ดังที่เราพิจารณาในบทความก่อน หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ คริสเตียนชาวยิวหลายคนรู้สึกว่ายากที่จะเลิกปฏิบัติตามพระบัญญัติของโมเซ. (กิจ. 21:20) แม้ว่าเปาโลชักเหตุผลอย่างชำนิชำนาญว่าคริสเตียนไม่อยู่ใต้พระบัญญัติอีกต่อไป แต่บางคนไม่ยอมรับเหตุผลที่ท่านเขียนโดยได้รับการดลใจ. (โกโล. 2:13-15) พวกเขาอาจคิดก็ได้ว่าถ้าพวกเขาปฏิบัติตามพระบัญญัติต่อไปอย่างน้อย ๆ ในบางส่วน พวกเขาจะไม่ถูกข่มเหง. ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เปาโลเขียนถึงคริสเตียนชาวฮีบรูและบอกพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า พวกเขาไม่อาจเข้าสู่การหยุดพักของพระเจ้าได้ตราบใดที่พวกเขาไม่ยอมทำอย่างที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้าที่กำลังได้รับการเปิดเผย. * (ฮีบรู 4:1, 2, 6; อ่านฮีบรู 4:11) เพื่อจะได้รับความพอพระทัยจากพระยะโฮวา พวกเขาจะต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์กำลังนำประชาชนของพระองค์ไปอีกทางหนึ่ง.
9. เราควรมีทัศนะเช่นไรเมื่อมีการปรับเปลี่ยนความเข้าใจบางเรื่องในพระคัมภีร์?
9 ในสมัยปัจจุบัน มีการปรับเปลี่ยนบางอย่างเกี่ยวกับความเข้าใจคำสอนในคัมภีร์ไบเบิล. เรื่องนี้ไม่น่าจะทำให้เราลำบากใจ แต่น่าจะทำให้เรามั่นใจยิ่งขึ้นในชนชั้นทาสสัตย์ซื่อและสุขุม. เมื่อตัวแทนของ “ทาส” นี้มองเห็นว่ามุมมองบางอย่างเกี่ยวกับความจริงจำเป็นต้องอธิบายให้ชัดขึ้นหรือแก้ไขให้ถูกต้อง พวกเขาไม่รีรอที่จะปรับเปลี่ยน. ชนชั้นทาสสนใจในเรื่องการให้ความร่วมมือกับพระประสงค์ของพระเจ้าที่กำลังได้รับการเปิดเผยมากกว่าการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เมื่อมีการปรับเปลี่ยนความเข้าใจ. คุณ มีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อมีการปรับเปลี่ยนความเข้าใจในพระคัมภีร์?—อ่านลูกา 5:39
10, 11. เราอาจเรียนอะไรได้จากปฏิกิริยาของบางคนเมื่อมีการนำวิธีใหม่ในการประกาศข่าวดีมาใช้?
10 ขอให้เราพิจารณาอีกตัวอย่างหนึ่ง. ในช่วงท้ายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 มีนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลบางคนซึ่งเป็นผู้บรรยายสาธารณะที่เก่งมากคิดว่าพวกเขาสามารถทำงานมอบหมายที่ให้ประกาศได้ดีที่สุดโดยการเตรียมคำบรรยายอย่างดีและบรรยายต่อผู้ฟังที่เห็นคุณค่า. พวกเขาชอบบรรยายแก่สาธารณชน และบางคนรู้สึกปลื้มใจไม่น้อยเมื่อได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างมากจากผู้ฟัง. อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาเห็นได้ชัดว่าพระยะโฮวาทรงปรารถนาให้ประชาชนของพระองค์ประกาศโดยใช้หลาย ๆ วิธี รวมทั้งการประกาศตามบ้าน. ผู้บรรยายสาธารณะที่มีความสามารถบางคนไม่ยอมลองวิธีใหม่อย่างเด็ดขาด. เมื่อมองอย่างผิวเผิน พวกเขาดูเหมือนว่าเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณที่ทุ่มเทตัวอย่างเต็มที่แด่พระยะโฮวา. อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นหลักฐานอย่างชัดเจนเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราทำงานประกาศ ความคิด ความมุ่งหมาย และแรงกระตุ้นที่แท้จริงของพวกเขาก็ปรากฏชัด. พระยะโฮวาทรงรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับพวกเขา? พระองค์ไม่อวยพรพวกเขา. พวกเขาทิ้งองค์การไป.—มัด. 10:1-6; กิจ. 5:42; 20:20
11 นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องง่ายที่ทุกคนซึ่งยังคงภักดีต่อองค์การจะประกาศแก่ผู้คน. หลายคนรู้สึกว่างานนี้ทำได้ยาก โดยเฉพาะในช่วงแรก. แต่พวกเขาเชื่อฟังและทำงานนี้. ในเวลาต่อมา พวกเขาเอาชนะความวิตกกังวล และพระยะโฮวาทรงอวยพรพวกเขาอย่างมากมาย. คุณ มีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อได้รับเชิญให้มีส่วนร่วมในงานประกาศบางรูปแบบซึ่งในตอนนี้ไม่ใช่วิธีที่คุณถนัดหรือชอบ? คุณพร้อมที่จะลองวิธีใหม่ ๆ ในการประกาศไหม?
เมื่อคนที่เรารักละทิ้งพระยะโฮวา
12, 13. (ก) พระยะโฮวาทรงมีพระประสงค์เช่นไรที่ให้มีการตัดสัมพันธ์ผู้ทำผิดที่ไม่กลับใจ? (ข) คริสเตียนที่เป็นบิดามารดาบางคนถูกทดสอบเช่นไร และอะไรทำให้การทดสอบนั้นเป็นเรื่องยากมาก?
12 ไม่ต้องสงสัยว่าเราทุกคนเห็นด้วยกับหลักการที่ว่าเราต้องเป็นคนสะอาดทั้งด้านร่างกาย ศีลธรรม และฝ่ายทิทุส 2:14) แต่มีบางโอกาสที่ความภักดีของเราในแง่มุมดังกล่าวซึ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าอาจถูกทดสอบอย่างรุนแรง. ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าลูกชายคนเดียวของคู่สมรสคริสเตียนคู่หนึ่งที่เป็นแบบอย่างละทิ้งความจริงไป. เนื่องจากชายหนุ่มคนนี้ชอบการ “เพลิดเพลินชั่วคราวกับบาป” มากกว่าสายสัมพันธ์เป็นส่วนตัวกับพระยะโฮวาและกับบิดามารดาที่ยำเกรงพระเจ้า เขาจึงถูกตัดสัมพันธ์.—ฮีบรู 11:25
วิญญาณ เพื่อจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า. (อ่าน13 หัวใจบิดามารดาสลาย! แน่นอน ทั้งสองรู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงการตัดสัมพันธ์ไว้ว่า “ให้เลิกคบหากับคน ที่ได้ชื่อว่าพี่น้องซึ่งเป็นคนผิดประเวณี คนโลภ คนไหว้รูปเคารพ คนปากร้าย คนขี้เมา หรือคนกรรโชกทรัพย์ แม้จะกินอะไรด้วยกันกับคนเช่นนั้นก็อย่าเลย.” (1 โค. 5:11, 13) ทั้งสองรู้ด้วยว่าคำ “คน” ในข้อนี้รวมถึงสมาชิกครอบครัวที่ไม่ได้อยู่ใต้ชายคาของเขา. แต่ทั้งสองรักลูกชายมาก! ความรู้สึกที่แรงกล้าอาจทำให้ทั้งสองชักเหตุผลว่า “เราจะช่วยลูกให้กลับมาหาพระยะโฮวาได้อย่างไรถ้าเราจำกัดการติดต่อกับเขาอย่างเข้มงวด? เราน่าจะช่วยเขาได้มากกว่าถ้าเราคอยติดต่อกับเขาอยู่เรื่อย ๆ มิใช่หรือ?” *
14, 15. บิดามารดาต้องจำอะไรไว้เมื่อจะตัดสินใจในเรื่องการติดต่อกับลูกที่ถูกตัดสัมพันธ์?
14 เรารู้สึกเห็นใจบิดามารดาคู่นี้. ที่จริง ลูกของพวกเขามีทางเลือก และเขาเลือกจะดำเนินชีวิตในแนวทางที่ขัดกับหลักการคริสเตียนแทนที่จะเลือกสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับบิดามารดาและเพื่อนร่วมความเชื่อคนอื่น ๆ. ส่วนบิดามารดาทำอะไรไม่ได้เลยในเรื่องนี้. เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าพวกเขารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง!
15 แต่บิดามารดาที่รักคู่นี้จะทำอะไร? พวกเขาจะเชื่อฟังพระบัญชาที่ชัดเจนของพระยะโฮวาไหม? หรือพวกเขาจะชักเหตุผลว่าพวกเขาสามารถติดต่อกับลูกชายที่ถูกตัดสัมพันธ์เป็นประจำ และอ้างว่านั่นเป็น “ธุระที่จำเป็นของครอบครัว”? ในการตัดสินใจ พวกเขาต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาว่าพระยะโฮวาทรงรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่. พระองค์ทรงประสงค์ให้เรารักษาองค์การของพระองค์ให้สะอาด และถ้าเป็นได้ ให้กระตุ้นคนที่ทำผิดให้ได้สติ. บิดามารดาคริสเตียนจะสนับสนุนพระประสงค์ดังกล่าวของพระเจ้าได้อย่างไร?
16, 17. เราเรียนอะไรได้จากการใคร่ครวญตัวอย่างของอาโรน?
16 อาโรน พี่ชายโมเซ เผชิญสถานการณ์ที่ลำบากใจเกี่ยวกับลูกชายสองคน. ขอให้คิดดูว่า เขาคงต้องรู้สึกอย่างไรเมื่อลูกชาย คือนาดาบและอะบีฮู ถวายเครื่องบูชาด้วยไฟที่ไม่ถูกต้องแด่พระยะโฮวาและพระองค์ทรงลงโทษทั้งสองถึงตาย. แน่นอน เหตุการณ์นั้นทำให้ชายสองคนนี้ไม่สามารถติดต่อกับบิดามารดาได้อีกต่อไป. แต่มีอะไรมากกว่านั้น. พระยะโฮวาทรงสั่งอาโรนและบุตรชายที่ซื่อสัตย์ว่า “ท่านทั้งหลายอย่าได้เปิดศีรษะหรือฉีกเสื้อผ้าของตน [เพื่อไว้ทุกข์] กลัวเกลือกจะตาย, เพราะพระราชอาชญา [ของพระยะโฮวา] จะลงมาถึงคนทั้งปวง.” (เลวี. 10:1-6) พระบัญชานั้นชัดเจน. เราต้องรักพระยะโฮวามากยิ่งกว่ารักสมาชิกครอบครัวที่ไม่ซื่อสัตย์.
17 ปัจจุบัน พระยะโฮวาไม่ทรงลงโทษคนที่ฝ่าฝืนกฎหมายของพระองค์ในทันที. ด้วยความรักพระองค์ทรงให้โอกาสพวกเขาที่จะกลับใจจากการกระทำผิด. แต่พระยะโฮวาจะทรงรู้สึกอย่างไรถ้าบิดามารดาของผู้ทำผิดที่ไม่กลับใจทดสอบพระองค์อยู่เรื่อย ๆ ด้วยการติดต่อกับลูกที่ถูกตัดสัมพันธ์โดยไม่จำเป็น?
18, 19. สมาชิกในครอบครัวที่ทำตามพระบัญชาของพระยะโฮวาเกี่ยวกับคนที่ถูกตัดสัมพันธ์อาจได้รับพระพรอะไร?
18 หลายคนที่เคยถูกตัดสัมพันธ์ยอมรับตรง ๆ ว่าการที่เพื่อนและสมาชิกในครอบครัวทำตามหลักการอย่างเคร่งครัดช่วยพวกเขาให้ได้สติ. เมื่อเสนอแนะต่อสำนักงานสาขาให้หญิงสาวคนหนึ่งถูกรับกลับสู่ฐานะเดิมในประชาคม ผู้ปกครองเขียนว่าการที่เธอชำระชีวิตให้สะอาดได้นั้น “ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพี่ชายเธอนับถือหลักการที่เกี่ยวกับการตัดสัมพันธ์.” เธอบอกว่า “การที่พี่ชายดิฉันทำตามหลักการในพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัดได้ช่วยดิฉันให้อยากกลับมา.”
19 เราควรสรุปเช่นไร? เราจำเป็นต้องต่อสู้แนวโน้มของหัวใจที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งอยากทำสิ่งที่ขัดกับคำแนะนำในพระคัมภีร์. เราต้องเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าวิธีของพระเจ้าในการจัดการปัญหาของเรานั้นดีที่สุด.
“พระคำของพระเจ้ามีชีวิต”
20. เราจะเข้าใจฮีบรู 4:12 ได้ในสองความหมายอะไร? (ดูเชิงอรรถ)
20 เมื่อเปาโลเขียนว่า “พระคำของพระเจ้ามีชีวิต” ท่านไม่ได้กล่าวพาดพิงถึงคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเรามักเรียกว่าพระคำของพระเจ้า. * บริบทแสดงให้เห็นว่าท่านกำลังกล่าวถึงคำสัญญาของพระเจ้า. จุดที่เปาโลต้องการเน้นก็คือพระเจ้าไม่ทรงลืมคำสัญญาของพระองค์. พระยะโฮวาทรงยืนยันเรื่องนี้โดยทางผู้พยากรณ์ยะซายาห์ว่า “ถ้อยคำ . . . ของเราจะไม่ได้กลับมายังเราโดยไร้ผล . . . [แต่จะ] สัมฤทธิ์ผลสมประสงค์ดังที่เราได้ใช้มันไปทำ.” (ยซา. 55:11) ด้วยเหตุนั้น เราต้องอดทนเมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ดำเนินไปเร็วอย่างที่เราอยากให้เป็น. พระยะโฮวากำลัง “ทำงาน” ของพระองค์อยู่เพื่อจะทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จเสร็จสิ้น.—โย. 5:17
21. ฮีบรู 4:12 อาจช่วยสมาชิก “ชนฝูงใหญ่” ผู้ซื่อสัตย์ที่อายุมากแล้วให้รับใช้พระยะโฮวาต่อ ๆ ไปได้อย่างไร?
21 สมาชิกของ “ชนฝูงใหญ่” ผู้ซื่อสัตย์ที่อายุมากแล้วได้รับใช้พระยะโฮวามาหลายสิบปี. (วิ. 7:9) หลายคนไม่เคยคิดว่าระบบนี้จะยังคงอยู่จนพวกเขาแก่ชรา. ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่ยอมท้อถอย. (เพลง. 92:14) พวกเขาตระหนักว่า “พระคำของพระเจ้ามีชีวิต” และพระยะโฮวากำลังทำให้คำสัญญาของพระองค์สำเร็จเป็นจริง. เนื่องจากพระประสงค์ของพระเจ้าสำคัญมากสำหรับพระองค์ เราทำให้พระองค์ยินดีเมื่อเราให้พระประสงค์ของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในความคิดของเรา. ระหว่างวันที่เจ็ดนี้ พระยะโฮวากำลังหยุดพัก เพราะทรงรู้อยู่ว่าพระประสงค์ของพระองค์จะสำเร็จ และทรงมั่นใจว่าประชาชนของพระองค์โดยรวมจะสนับสนุนพระประสงค์ของพระองค์. จะว่าอย่างไรสำหรับตัวคุณเอง? คุณ ได้เข้าสู่การหยุดพักของพระเจ้าแล้วไหม?
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 8 ผู้นำชาวยิวหลายคนปฏิบัติตามพระบัญญัติของโมเซอย่างเคร่งครัด แต่เมื่อพระมาซีฮาเสด็จมา พวกเขากลับไม่ยอมรับพระองค์. พวกเขาไม่ได้ก้าวให้ทันกับพระประสงค์ของพระเจ้าที่กำลังก้าวรุดหน้า.
^ วรรค 13 โปรดดูหนังสือ“เป็นที่รักของพระเจ้าเสมอ” หน้า 207-209.
^ วรรค 20 ปัจจุบัน พระเจ้าตรัสกับเราโดยทางพระคำของพระองค์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งมีพลังที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตเรา. ด้วยเหตุนั้น “พระคำ” ที่เปาโลกล่าวถึงในฮีบรู 4:12 สามารถนำมาใช้หมายถึงคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างถูกต้อง.
อย่าพลาดจุดสำคัญ
• เราต้องทำอะไรเพื่อจะเข้าสู่การหยุดพักของพระเจ้าในทุกวันนี้ได้?
• มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรระหว่างพระประสงค์ของพระเจ้ากับความเต็มใจของเราที่จะยอมรับคำแนะนำตามหลักพระคัมภีร์?
• การเชื่อฟังคำสั่งในพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยากในกรณีใด แต่เหตุใดจึงสำคัญที่เราจะทำตาม?
• เราจะเข้าใจฮีบรู 4:12 ได้ในสองความหมายอะไร?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 31]
หัวใจบิดามารดาสลาย!