คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตคน
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตคน
อะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้พังก์ร็อกคนหนึ่งที่ต่อต้านสังคมเรียนรู้ที่จะรักและพยายามช่วยเหลือคนอื่น? อะไรเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้ชายคนหนึ่งในเม็กซิโกเลิกใช้ชีวิตอย่างผิดศีลธรรม? ทำไมนักแข่งจักรยานที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นจึงทิ้งอาชีพนักแข่งไว้เบื้องหลังแล้วหันมารับใช้พระเจ้า? เชิญอ่านเรื่องที่พวกเขาจะเล่าต่อไปนี้.
‘ผมเคยเป็นคนหยาบคาย หยิ่งยโส และก้าวร้าว.’—เดนนิส โอไบร์น
ปีเกิด: 1958
ประเทศบ้านเกิด: อังกฤษ
อดีต: พังก์ร็อกที่ต่อต้านสังคม
ชีวิตที่ผ่านมา: พ่อของผมเป็นชาวไอร์แลนด์ ผมจึงเติบโตขึ้นเป็นชาวคาทอลิก. โดยปกติแล้วผมมักต้องไปโบสถ์เอง และผมก็ไม่อยากไป. ถึงกระนั้น ผมก็อยากรู้เรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับพระเจ้า. ผมท่องคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นประจำ และยังจำได้ว่าผมมักจะนอนคิดถึงความหมายของคำอธิษฐานนี้ในตอนกลางคืน. ผมเคยแยกคำอธิษฐานนี้ออกเป็นประโยค ๆ และพยายามคิดว่าแต่ละประโยคหมายความว่าอย่างไร.
ตอนเป็นวัยรุ่น ผมได้เข้าร่วมกับขบวนการราสตาฟาเรียน. และผมยังสนใจแนวคิดทางการเมืองของกลุ่มต่อต้านลัทธินาซีด้วย. แต่ผมคลั่งไคล้แนวคิดแบบขืนอำนาจของพวกพังก์ร็อก. ผมเสพยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งกัญชา ซึ่งผมสูบแทบทุกวัน. เนื่องจากมีความคิดแบบ “ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น” ผมจึงดื่มจัด ใช้ชีวิตแบบไม่กลัวตาย และแทบไม่สนใจคนอื่นเลย. ผมเป็นคนที่ต่อต้านสังคม ไม่ยอมพูดจากับใครเว้นแต่ผมจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าคุยเท่านั้น. ผมถึงกับไม่ยอมให้ใครถ่ายรูป. ตอนนี้เมื่อมองย้อนกลับไป ผมบอกได้เลยว่าผมเป็นคนหยาบคาย หยิ่งยโส และก้าวร้าว. ผมจะทำดีและมีน้ำใจกับคนที่ใกล้ชิดกับผมเท่านั้น.
เมื่ออายุราว ๆ 20 ปี ผมเริ่มสนใจคัมภีร์ไบเบิล. เพื่อนคนหนึ่งที่ค้ายาเสพติดได้เริ่มอ่านคัมภีร์ไบเบิลตอนที่อยู่ในคุก เราคุยกันยืดยาวเกี่ยวกับเรื่องศาสนา คริสตจักร และอิทธิพลที่ซาตานมีต่อโลกนี้. ผมซื้อคัมภีร์ไบเบิลมาและเริ่มศึกษาด้วยตัวเอง. ผมกับเพื่อนจะอ่านคัมภีร์ไบเบิลตอนต่าง ๆ แล้วมาพูดคุยกันเกี่ยวกับสิ่งที่เราได้อ่าน จากนั้นก็หาข้อสรุปร่วมกัน. เราทำอย่างนี้อยู่หลายเดือน.
ข้อสรุปบางประการที่เราได้จากการอ่านคัมภีร์ไบเบิลคือ เรากำลังอยู่ในสมัยสุดท้าย, คริสเตียนควรประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า, พวกเขาต้องไม่เป็นส่วนของโลกและการเมือง, และคัมภีร์ไบเบิลให้คำแนะนำที่มีเหตุผลในเรื่องศีลธรรม. เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นความจริงและต้องมีศาสนาแท้. แต่ศาสนาไหนล่ะ? เราคิดถึงคริสตจักรใหญ่ ๆ ซึ่งมีพิธีการใหญ่โตหรูหรารวมถึงเรื่องที่พวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และเราก็เห็นว่าพระเยซูไม่ได้ทำเช่นนั้น. เรารู้ว่าพระเจ้าไม่ได้ใช้คริสตจักรเหล่านั้น เราจึงตัดสินใจมองหาศาสนาที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนักเพื่อดูว่าพวกเขาสอนอย่างไร.
เราไปหาผู้ที่นับถือศาสนาเหล่านั้นแล้วถามเขาด้วยคำถามหลายข้อ. เรารู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลตอบอย่างไรเกี่ยวกับคำถามเหล่านั้น ดังนั้น เราจึงรู้ทันทีว่าคำตอบของพวกเขาสอดคล้องกับพระคำของพระเจ้าหรือไม่. หลังจากไปพบปะกับคนเหล่านั้นแล้ว ผมมักจะอธิษฐานกับพระเจ้าเสมอว่า ‘ถ้าศาสนาของคนเหล่านั้นเป็นศาสนาแท้ ขอโปรดดลใจผมให้อยากกลับไปพบพวกเขาอีก.’ แต่หลังจากทำอย่างนั้นอยู่หลายเดือน ผมก็ยังไม่พบกลุ่มไหนเลยที่ตอบคำถามของเราจากคัมภีร์ไบเบิล และผมเองก็ไม่รู้สึกอยากกลับไปพบพวกเขาอีก.
ในที่สุด ผมกับเพื่อนได้พบกับพยานพระยะโฮวา. เราถามคำถามแบบที่เราเคยถามกลุ่มอื่น ๆ มาแล้ว แต่พยานฯ ให้คำตอบจากคัมภีร์ไบเบิล. สิ่งที่พวกเขาพูดตรงกันกับสิ่งที่เราได้เรียนรู้แล้ว. ดังนั้น เราจึงถามคำถามอื่น ๆ ที่ยังไม่พบคำตอบในคัมภีร์ไบเบิล เช่น พระเจ้ามีทัศนะอย่างไรเรื่องการสูบบุหรี่และการใช้ยาเสพติด. อีกครั้งหนึ่ง พวกเขาสามารถใช้พระคำของพระเจ้าตอบเราได้. เราตกลงใจจะไปร่วมประชุมที่หอประชุมราชอาณาจักร.
การไปประชุมเป็นเรื่องยากสำหรับผม. ผมเป็นคนที่ต่อต้านสังคมอย่างหนัก ผมไม่ชอบเมื่อมีคนแต่งตัวดี ๆ ท่าทางเป็นมิตรเข้ามาทักทาย. ผมคิดว่าบางคนที่เข้ามาทักทายคงต้องมีเจตนาไม่ดีแน่ ๆ ผมก็เลยไม่อยากไปประชุมอีก. แต่ก็อย่างที่แล้ว ๆ มา ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าว่าถ้าศาสนาของคนเหล่านี้เป็นศาสนาแท้ก็ขอพระองค์ดลใจผมให้อยากกลับไปหาพวกเขาอีก แล้วผมก็รู้สึกว่าอยากศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานฯ เหลือเกิน.
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตผมอย่างไร: ผมรู้ว่าผมต้องเลิกเสพยาและผมก็เลิกได้ทันที. แต่ที่ยากจริง ๆ ก็คือบุหรี่. ผมพยายามเลิกบุหรี่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ. เมื่อผมได้ยินคนอื่นบอกว่าพวกเขาแค่โยนบุหรี่ทิ้งไปแล้วก็เลิกได้เลย ผมจึงทูลพระยะโฮวาเกี่ยวกับเรื่องนี้. หลังจากนั้น ด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา ผมก็เลิกบุหรี่ได้. ผมได้เรียนรู้ว่าการอธิษฐานถึงพระยะโฮวาอย่างจริงใจและตรงไปตรงมาช่วยได้มากจริง ๆ.
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกอย่างหนึ่งของผมก็คือเรื่องเสื้อผ้าและการแต่งกาย. ตอนที่ผมไปประชุมที่หอประชุมราชอาณาจักรครั้งแรก ผมตัดผมทรงพังก์ ย้อมผมเป็นสีน้ำเงินอมเขียวและตรงปลายเป็นสีส้มสด. ผมนุ่งกางเกงยีนส์และสวมเสื้อแจ็กเกตหนังที่มีคำขวัญติดอยู่บนเสื้อ. ผมไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร แม้พยานฯ จะพยายามอธิบายเหตุผลให้ผมทราบด้วยความกรุณาก็ตาม. แต่ในที่สุด ผมคิดถึงข้อคัมภีร์ที่ 1 โยฮัน 2:15-17 ซึ่งกล่าวว่า “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก. ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่มีอยู่ในคนนั้น.” ผมได้ข้อสรุปว่าโดยวิธีแต่งกายของผม ผมกำลังแสดงความรักต่อโลกแทนที่จะแสดงความรักต่อพระเจ้า ผมจะต้องเปลี่ยนตัวเอง และผมก็ทำเช่นนั้น.
ต่อมา ผมได้เข้าใจว่าไม่ใช่พยานฯ เท่านั้นที่อยากให้ผมเข้าร่วมการประชุมคริสเตียน. ฮีบรู 10:24, 25 แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงประสงค์ให้ผมเข้าร่วมประชุม. หลังจากผมเริ่มเข้าร่วมการประชุมทุกรายการและรู้จักคนที่หอประชุมจริง ๆ ผมก็ตัดสินใจแสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาด้วยการรับบัพติสมา.
ประโยชน์ที่ได้รับ: ผมรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งที่พระยะโฮวาทรงยอมให้เราเข้ามามีสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับพระองค์. ความเมตตากรุณาและความใฝ่พระทัยของพระเจ้าทำให้ผมอยากเลียนแบบพระองค์และปฏิบัติตามพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ผู้เป็นแบบอย่างในชีวิตของผม. (1 เปโตร 2:21) ผมได้เรียนรู้ว่าในขณะที่ผมพยายามพัฒนาบุคลิกภาพแบบคริสเตียน ผมก็ยังเป็นตัวของตัวเองได้. ผมพยายามปลูกฝังความรักและความห่วงใยต่อผู้อื่น. ผมพยายามจะเลียนแบบพระคริสต์โดยปฏิบัติต่อภรรยาและลูกด้วยความรัก. และผมมีความห่วงใยอย่างแท้จริงต่อพี่น้องคริสเตียน. การปฏิบัติตามพระคริสต์ทำให้ผมรู้สึกมีเกียรติ นับถือตัวเอง และสามารถแสดงความรักต่อคนอื่น ๆ.
“พวกเขาให้เกียรติผม.”—กวาดาลูเป บิลยาเรอัล
ปีเกิด: 1964
ประเทศบ้านเกิด: เม็กซิโก
อดีต: ใช้ชีวิตแบบผิดศีลธรรม
ชีวิตที่ผ่านมา: ผมเป็นลูกคนหนึ่งในเจ็ดคนที่เติบโตขึ้นในเมืองเอร์โมซีโย รัฐโซโนรา ประเทศเม็กซิโก ซึ่งเป็นเมืองที่ยากจนข้นแค้นมาก. พ่อของผมเสียชีวิตตอนที่ผมยังเล็กมาก ดังนั้น แม่จึงต้องทำงานหาเลี้ยงพวกเรา. ผมมักจะเดินไปไหนมาไหนด้วยเท้าเปล่าเพราะเราไม่มีเงินซื้อรองเท้า. ตั้งแต่ยังเด็กผมเริ่มทำงานหาเงินมาช่วยค่าใช้จ่ายในครอบครัว. เช่นเดียวกับอีกหลายครอบครัว เราอยู่รวมกันอย่างแออัด.
แทบทั้งวันเราอยู่กันตามลำพังโดยไม่มีแม่คอยปกป้อง. ตอนอายุ 6 ขวบ ผมเริ่มถูกทำร้ายทางเพศโดยเด็กหนุ่มอายุ 15 ปีคนหนึ่ง และถูกกระทำอย่างนี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน. ผลอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือผมมีความสับสนทางเพศอย่างมาก. ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่จะชอบผู้ชายด้วยกัน. เมื่อผมไปปรึกษาแพทย์หรือนักเทศน์นักบวชเพื่อขอความช่วยเหลือ พวกเขายืนยันว่าผมไม่ได้มีปัญหาอะไร และบอกว่าความรู้สึกที่ชอบผู้ชายด้วยกันเป็นเรื่องปกติ.
เมื่ออายุ 14 ปี ผมตัดสินใจใช้ชีวิตแบบพวกรักร่วมเพศโดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ต้องปกปิดอีกต่อไป. ผมใช้ชีวิตอย่างนั้นต่อไปอีก 11 ปี และถึงกับอยู่กินกับเพื่อนชายหลายคนตลอดช่วงเวลานั้น. ในที่สุด ผมไปเรียนเป็นนักออกแบบทรงผมและเปิดร้านเสริมสวย. แต่ผมไม่มีความสุข. ผมมีชีวิตที่ขมขื่นและมักถูกทรยศหักหลัง. ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นั้นไม่ถูกต้อง. ผมเริ่มถามตัวเองว่า ‘จะมีคนดีที่น่าคบอยู่บ้างไหม?’
ผมคิดถึงพี่สาวของผม. เธอเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา และในที่สุดก็รับบัพติสมา. พี่สาวมักจะเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ แต่ผมไม่สนใจ. ถึงกระนั้น ผมก็ชื่นชมในตัวพี่สาวและชีวิตสมรสของเธอ. ผมสังเกตว่าพี่สาวกับสามีรักและนับถือกันจริง ๆ. ทั้งสองแสดงความกรุณาต่อกัน. ต่อมา พยานพระยะโฮวาคนหนึ่งเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผม. ตอนแรกผมศึกษาไปอย่างนั้นเองโดยไม่ได้กระตือรือร้นอะไรมากนัก. แต่แล้วเหตุการณ์ก็เปลี่ยนไป.
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตผมอย่างไร: ครั้งหนึ่งพยานฯ เชิญผมไปร่วมการประชุมของพวกเขา ผมก็ไปตามคำเชิญ. ผมได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน. ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเยาะเย้ยผม แต่พยานฯ ไม่ได้ทำเช่นนั้น. พวกเขาทักทายผมอย่างเป็นกันเองและพวกเขาให้เกียรติผม. ผมรู้สึกซึ้งใจมาก.
ผมยิ่งประทับใจพยานฯ มากขึ้นเมื่อไปร่วมการประชุมใหญ่. ผมเห็นว่าแม้แต่เมื่ออยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ผู้คนเหล่านี้ก็เป็นเหมือนพี่สาวของผมคือมีความรักและความจริงใจอย่างแท้จริง. ผมถามตัวเองว่า เป็นไปได้ไหมที่คนกลุ่มนี้อาจเป็นคนดีที่น่าคบซึ่งผมเสาะหามานาน. ความรักและความเป็นเอกภาพของพวกเขาทำให้ผมรู้สึกทึ่งเช่นเดียวกับที่พวกเขาใช้คัมภีร์ไบเบิลตอบคำถามทุกข้อของผม. ผมเข้าใจว่าคัมภีร์ไบเบิลนั่นเองเป็นพลังที่ทำให้คนเหล่านี้ทำสิ่งดี ๆ ในชีวิตของเขา. และผมยังรู้ด้วยว่าผมจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเพื่อจะมาเป็นพยานฯ คนหนึ่ง.
ที่จริง ผมต้องเปลี่ยนตัวเองทั้งหมด เพราะผมได้ใช้ชีวิตแบบผู้หญิง. การพูด กิริยาท่าทาง เสื้อผ้า ทรงผม และเรื่องการเลือกคบเพื่อนก็ต้องเปลี่ยนใหม่หมด. เพื่อนเก่า ๆ ของผมเริ่มหัวเราะเยาะและบอกว่า “ทำไมแกต้องทำแบบนี้? แกเป็นอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว. อย่าเรียนคัมภีร์ไบเบิลเลย. แกมีทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว.” แต่สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผมก็คือการเลิกใช้ชีวิตแบบผิดศีลธรรม.
1 โครินท์ 6:9-11 กระทบใจผมอย่างมาก. ข้อนั้นบอกว่า “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าคนอธรรมจะไม่ได้รับราชอาณาจักรของพระเจ้า? อย่าหลงผิดเลย. คนผิดประเวณี คนไหว้รูปเคารพ คนเล่นชู้ ชายที่บำเรอชาย ชายรักร่วมเพศ . . . จะไม่ได้รับราชอาณาจักรของพระเจ้า. พวกท่านบางคนเคยเป็นอย่างนั้น. แต่ . . . พระเจ้าทรงชำระพวกท่านให้สะอาดแล้ว.” พระยะโฮวาทรงช่วยผู้คนสมัยนั้นให้ทำการเปลี่ยนแปลงชีวิตและพระองค์ได้ช่วยผมด้วย. การเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นต้องใช้เวลาหลายปีและบากบั่นพยายามอย่างมาก แต่คำแนะนำพร้อมด้วยความรักที่พยานฯ แสดงต่อผมช่วยผมได้มากจริง ๆ.
กระนั้น ผมรู้ว่าเป็นไปได้ที่จะทำการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่นี้ เพราะถ้อยคำในคัมภีร์ไบเบิลที่ประโยชน์ที่ได้รับ: ทุกวันนี้ ผมใช้ชีวิตปกติแบบผู้ชาย. ผมแต่งงานแล้ว และผมกับภรรยากำลังสอนลูก ๆ ของเราให้ดำเนินชีวิตตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิล. ตอนนี้ผมหันหลังให้ชีวิตแบบเก่าแล้ว และผมได้รับสิ่งดี ๆ และสิทธิพิเศษในงานรับใช้พระเจ้ามากมาย. ผมเป็นผู้ปกครองในประชาคมและสามารถช่วยคนอื่นให้เรียนรู้จักความจริงในพระคำของพระเจ้า. การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผมทำให้แม่มีความสุขมากจนท่านยินดีศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และภายหลังได้เข้ามาเป็นคริสเตียนที่รับบัพติสมาแล้ว. น้องสาวคนหนึ่งที่เคยใช้ชีวิตอย่างผิดศีลธรรมก็ได้เข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวาเช่นกัน.
แม้แต่บางคนที่เคยรู้เกี่ยวกับอดีตของผม ตอนนี้ก็เห็นว่าผมได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น. และผมรู้ว่าอะไรเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น. ในอดีต ผมเคยขอความช่วยเหลือจากแพทย์และนักเทศน์นักบวช แต่ผมกลับได้รับคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง. อย่างไรก็ตาม พระยะโฮวาทรงช่วยผมมากจริง ๆ. แม้ตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าแต่พระองค์ก็ยังมองเห็นผม ทั้งได้แสดงความรักและความอดทนต่อผมด้วย. ความจริงที่ว่าพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก สติปัญญา และคุณความดีทรงใฝ่พระทัยในตัวผมและต้องการให้ผมมีชีวิตที่ดีขึ้นนั่นแหละที่เปลี่ยนชีวิตผม.
“ผมไม่มีความพอใจในชีวิต เหงา และว่างเปล่า.”—คาซุฮิโร คุนิโมชิ
ปีเกิด: 1951
ประเทศบ้านเกิด: ญี่ปุ่น
อดีต: นักปั่นจักรยานผู้รักการแข่งขัน
ชีวิตที่ผ่านมา: ผมเติบโตขึ้นในเมืองท่าที่ซบเซาในจังหวัดชิซุโอกะของญี่ปุ่น. ครอบครัวของเรามีกันแปดคน พวกเราอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง. พ่อของผมเปิดร้านขายและซ่อมจักรยาน. ตั้งแต่วัยเด็กพ่อชอบพาผมไปดูการแข่งจักรยานและทำให้ผมเริ่มสนใจกีฬานี้. แล้วพ่อก็เริ่มปูทางให้ผมเป็นนักแข่งจักรยานอาชีพ. ตอนที่ผมยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น พ่อเริ่มฝึกสอนผมอย่างเอาจริงเอาจัง. พออยู่ชั้นมัธยมปลาย ผมชนะการแข่งขันกีฬาระดับประเทศสามปีซ้อน. ผมได้รับข้อเสนอให้เข้ามหาวิทยาลัยแต่ผมตัดสินใจที่จะเข้าโรงเรียนกีฬาโดยตรง. เมื่ออายุ 19 ปี ผมก็ได้เป็นนักปั่นจักรยานอาชีพ.
เป้าหมายชีวิตของผมในตอนนั้นก็คือเป็นนักปั่นจักรยานอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น. ผมคิดจะหาเงินให้ได้มาก ๆ เพื่อครอบครัวของผมจะได้มั่นคงและเป็นหลักเป็นฐาน. ผมทุ่มเทตัวเองให้กับการฝึกซ้อม. เมื่อไรก็ตามที่ผมรู้สึกท้อกับการ
ฝึกซ้อมอย่างเข้มงวดหรือการแข่งขันบางช่วงที่ยากลำบาก ผมมักจะบอกตัวเองเสมอว่าผมเกิดมาเพื่อแข่งจักรยานและไม่ว่าอย่างไรผมก็จะต้องทำให้ได้! และผมก็ทำอย่างนั้นจริง. ความพยายามของผมเริ่มได้รับผลตอบแทนที่ดี. ในปีแรก ผมชนะการแข่งขันที่จัดขึ้นสำหรับนักแข่งจักรยานหน้าใหม่. ในปีที่สอง ผมมีคุณสมบัติที่จะเข้าแข่งขันเพื่อเฟ้นหานักปั่นจักรยานอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น. หลังจากลงแข่งเก็บคะแนนหกครั้ง ผมมาเป็นอันดับสอง.เนื่องจากผมเป็นนักปั่นจักรยานคนหนึ่งที่ทำรายได้สูงมาก ผู้คนจึงให้ฉายาผมว่านักปั่นน่องเหล็กแห่งโทไก. ผมชอบแข่งขันเป็นชีวิตจิตใจ. ต่อมา ผมกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับนักแข่งคนอื่น ๆ เพราะผมไม่เคยยอมอ่อนข้อให้ใครเลย. ผมหาเงินได้เยอะมากและสามารถซื้อทุกสิ่งที่ผมอยากได้. ผมซื้อบ้านที่มีห้องออกกำลังกายพร้อมกับติดตั้งอุปกรณ์กีฬาที่ดีที่สุด. ผมซื้อรถนำเข้าซึ่งมีราคาแพงเกือบเท่ากับบ้านหลังหนึ่ง. เพื่อทำให้ชีวิตมั่นคง ผมเริ่มลงทุนโดยการซื้ออสังหาริมทรัพย์และเล่นหุ้น.
ถึงกระนั้น ผมรู้สึกว่าผมไม่มีความพอใจในชีวิต เหงา และว่างเปล่า. เวลานั้นผมแต่งงานและมีลูก แต่ผมมักไม่มีความอดทนกับคนในครอบครัว. ผมจะอารมณ์เสียใส่ภรรยาและลูกด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ. เมื่อพวกเขาเห็นสีหน้าผมเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมา พวกเขาก็จะกลัวจนลนลาน.
แต่ต่อมา ภรรยาของผมเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา. การศึกษานั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง. ภรรยาผมบอกว่าเธอต้องการไปร่วมการประชุมของพยานฯ ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจว่าเราควรไปด้วยกันทั้งครอบครัว. ผมยังจำคืนนั้นได้ที่ผู้ปกครองมาเยี่ยมผมที่บ้านและเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผม. ผมประทับใจมากกับสิ่งที่ผมได้เรียนรู้.
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตผมอย่างไร: ผมจะไม่มีวันลืมความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมเมื่ออ่านข้อคัมภีร์ที่เอเฟโซส์ 5:5. ข้อนั้นอ่านว่า “คนผิดประเวณี คนที่ประพฤติไม่สะอาด หรือคนโลภซึ่งเท่ากับเป็นคนไหว้รูปเคารพ จะไม่ได้รับราชอาณาจักรของพระคริสต์และของพระเจ้า.” ผมมองเห็นว่าการแข่งจักรยานเกี่ยวข้องกับการพนันและเป็นกีฬาที่ส่งเสริมความโลภ. สติรู้สึกผิดชอบเริ่มรบกวนจิตใจผม. ผมรู้สึกว่าถ้าผมต้องการให้พระยะโฮวาพระเจ้าพอพระทัย ผมต้องเลิกแข่งจักรยาน. แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ยากสำหรับผม.
ปีนั้นเป็นปีที่ผมประสบความสำเร็จมากที่สุดในอาชีพนักปั่น และผมก็ยังอยากแข่งต่อไปอีก. แต่ผมรู้สึกว่าการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทำให้ผมมีใจสงบและไม่คิดที่จะเอาชนะใคร ซึ่งถ้าผมต้องการจะเป็นผู้ชนะผมจะคิดอย่างนี้ไม่ได้เลย! หลังจากเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลผมลงแข่งจักรยานแค่สามครั้ง แต่ผมก็ยังตัดใจเลิกอาชีพนักแข่งไม่ได้. นอกจากนี้ ผมยังคิดไม่ออกว่าจะหาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างไร. ผมรู้สึกจนมุม จะไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ได้ และพวกญาติ ๆ ก็เริ่มกดดันเกี่ยวกับความเชื่อใหม่ของผม. พ่อผิดหวังในตัวผมมาก. เรื่องนี้ทำให้ผมยิ่งเครียดหนักขึ้นจนป่วยเป็นโรคกระเพาะ.
สิ่งที่ช่วยผมให้ผ่านความยากลำบากในครั้งนี้ก็คือการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและการเข้าร่วมการประชุมกับพยานพระยะโฮวาโดยไม่ขาด. ผมเริ่มมีความเชื่อมากขึ้น. ผมขอให้พระยะโฮวารับฟังคำอธิษฐานและช่วยให้ผมเห็นว่าพระองค์ทรงฟังผม. ผมรู้สึกเบาใจขึ้นเมื่อภรรยายืนยันกับผมว่าเธอไม่จำเป็นต้องอยู่บ้านหลังใหญ่เพื่อจะมีความสุข. ต่อมาผมก็ค่อย ๆ ก้าวหน้าขึ้น.
ประโยชน์ที่ได้รับ: ผมได้เรียนรู้ว่าถ้อยคำของพระเยซูที่บันทึกในมัดธาย 6:33 เป็นความจริงทีเดียว. พระองค์ตรัสว่า “ดังนั้น จงแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอไป แล้วพระองค์จะทรงให้สิ่งทั้งปวงนี้แก่พวกเจ้า.” เราไม่เคยขาด “สิ่งทั้งปวง” ที่พระเยซูกล่าวถึงซึ่งก็คือสิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิต. แม้ว่ารายได้ของผมจะน้อยกว่าตอนที่เป็นนักแข่งจักรยานราว ๆ 30 เท่า แต่ผมและครอบครัวไม่เคยขาดสิ่งใดเลยตลอด 20 ปีที่ผ่านมานี้.
ที่ดีเยี่ยมกว่านั้นคือ เมื่อผมทำงานหรือรับใช้ร่วมกับเพื่อนร่วมความเชื่อ ผมมีความสุขและความอิ่มใจพอใจอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน. วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว. ครอบครัวของเรามีความสุขกันมากขึ้น. ลูกชายสามคนของผมเข้ามาเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวาพร้อมกับภรรยาของพวกเขา.