บทหก
นางระบายความในใจกับพระเจ้าในคำอธิษฐาน
1, 2. (ก) ทำไมฮันนาไม่มีความสุขในช่วงที่เตรียมตัวเดินทาง? (ข) เรื่องราวของฮันนาช่วยเราอย่างไร?
ฮันนาง่วนอยู่กับการเตรียมตัวเดินทาง นางพยายามไม่คิดถึงปัญหาของตัวเอง. นี่ควรจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข เอ็ลคานาสามีของนางพาทุกคนในครอบครัวเดินทางไปนมัสการที่พลับพลาในเมืองชีโลห์เป็นประจำทุกปี. พระยะโฮวาประสงค์ให้โอกาสเช่นนี้เป็นเวลาแห่งความยินดี. (อ่านพระบัญญัติ 16:15 ) ฮันนาคงชอบเข้าร่วมเทศกาลเหล่านี้ตั้งแต่เด็ก. แต่ไม่กี่ปีมานี้สถานการณ์ในชีวิตนางได้เปลี่ยนไป.
2 นับเป็นพระพรที่นางมีสามีที่รักนาง. แต่เอ็ลคานายังมีภรรยาอีกคนหนึ่งชื่อพะนีนา และดูเหมือนว่าเธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ฮันนารู้สึกขมขื่น. พะนีนามีวิธีทำให้ฮันนาทุกข์ทรมานใจแม้แต่ในช่วงเทศกาลประจำปีเช่นนี้. เธอทำอะไร? และที่น่าสนใจกว่านั้น ความเชื่อที่ฮันนามีในพระยะโฮวาช่วยนางอย่างไรให้รับมือกับสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้? หากคุณกำลังเผชิญปัญหาที่บั่นทอนความสุขความยินดีในชีวิต เรื่องราวของฮันนาคงจะประทับใจคุณอย่างมาก.
“เสียใจด้วยเรื่องอะไร”
3, 4. ฮันนามีปัญหาใหญ่สองเรื่องอะไร และทำไมปัญหาแต่ละเรื่องจึงทำให้นางทุกข์ใจ?
3 คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยว่ามีปัญหาใหญ่สองเรื่องในชีวิตของฮันนา. เรื่องแรกนางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เพราะนางอยู่ในครอบครัวที่สามีมีภรรยาสองคน และภรรยาอีกคนหนึ่งก็เกลียดนาง. ส่วนเรื่องที่สองยิ่งทำอะไร
ไม่ได้เลยเพราะนางเป็นหมัน. ผู้หญิงทุกคนที่อยากมีลูกมากคงเข้าใจความรู้สึกของฮันนาดี. ในสมัยของฮันนาและในวัฒนธรรมนั้นการเป็นหมันเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกข์ทรมานใจอย่างยิ่ง. ทุกครอบครัวต่างหวังจะมีลูกเพื่อสืบสกุล. การเป็นหมันจึงเป็นเหมือนการถูกตำหนิอย่างแรงและเป็นเรื่องน่าอับอาย.4 ฮันนาคงอดทนกับสภาพการณ์เช่นนี้ได้ถ้าไม่มีพะนีนา. ครอบครัวที่มีภรรยาหลายคนไม่อาจมีความสุขได้อย่างแท้จริง. การแก่งแย่งชิงดีและความปวดร้าวใจเป็นเรื่องธรรมดามากในครอบครัวแบบนี้. การมีภรรยาหลายคนไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่พระเจ้าได้ตั้งขึ้นในสวนเอเดนซึ่งกำหนดให้มีสามีหรือภรรยาเพียงคนเดียว. (เย. 2:24) คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่าการมีภรรยาหลายคนจะก่อผลเสียหายร้ายแรง และสิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเอ็ลคานาเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนความจริงข้อนี้ได้เป็นอย่างดี.
5. ทำไมพะนีนาอยากเห็นฮันนาทุกข์ใจ และเธอทำให้ฮันนาเจ็บปวดใจอย่างไร?
5 เอ็ลคานารักฮันนามาก. ตามคำสอนสืบปากของชาวยิว เขาแต่งงานกับฮันนาก่อน แล้วต่อมาจึงแต่งงานกับพะนีนา. ไม่ว่าจะอย่างไร พะนีนาซึ่งอิจฉาฮันนามากได้ใช้หลายวิธีเพื่อทำให้นางทุกข์ใจ. พะนีนาได้เปรียบฮันนาตรงที่เธอสามารถมีลูกได้. พะนีนาคลอดลูกคนแล้วคนเล่า และเธอรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญมากขึ้นทุกครั้งที่ให้กำเนิดลูก. แทนที่จะสงสารและปลอบโยนฮันนาผู้ไม่สมหวัง พะนีนาฉวยโอกาสจากปมด้อยของฮันนา. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าพะนีนาหาเรื่องกวนใจฮันนา “ทำให้ได้ความร้อนใจ.” (1 ซามู. 1:6) พะนีนาจงใจทำเช่นนั้น. เธอต้องการทำให้ฮันนาเจ็บปวดใจมากและก็ทำสำเร็จ.
6, 7. (ก) แม้ว่าเอ็ลคานาพยายามปลอบใจฮันนา แต่ทำไมนางไม่เล่าปัญหาทั้งหมดให้เขาฟัง? (ข) การที่พระยะโฮวาปิดครรภ์ของฮันนาหมายความว่าพระองค์ไม่พอพระทัยนางไหม? จงอธิบาย. (ดูเชิงอรรถ)
6 โอกาสที่พะนีนาอาจเห็นว่าเหมาะอย่างยิ่งคือตอนที่ครอบครัวไปนมัสการพระยะโฮวาประจำปีที่ชีโลห์. เอ็ลคานาแบ่งส่วนที่ได้รับจากเครื่องบูชาที่1 ซามู. 1:4-8
ถวายแด่พระยะโฮวาให้ “บุตรชายหญิง” ทุกคนของพะนีนาซึ่งมีหลายคน. แต่ฮันนาภรรยาที่เขารักมากได้รับส่วนแบ่งของนางมากเป็นพิเศษ. พะนีนาอิจฉาจึงเย้ยหยันฮันนาและตอกย้ำเรื่องที่นางเป็นหมัน จนหญิงผู้น่าสงสารคนนี้ร้องไห้และถึงกับไม่อยากรับประทานอาหาร. เอ็ลคานาสังเกตว่าภรรยาที่เขารักมากกำลังเป็นทุกข์และไม่รับประทานอาหาร เขาจึงพยายามปลอบใจนาง. เขาถามว่า “ทำไมจึงร้องไห้และไม่รับประทานอาหาร, เสียใจด้วยเรื่องอะไร, ฉันไม่ดีกว่าบุตรชายสิบคนหรือ?”—7 นับว่าดีที่เอ็ลคานายังมองออกว่าฮันนาเป็นทุกข์ด้วยเรื่องที่นางเป็นหมัน. และฮันนาคงซาบซึ้งใจแน่ ๆ ที่สามีแสดงความกรุณาและทำให้นางมั่นใจในความรักของเขา. * แต่เอ็ลคานาไม่ได้พูดถึงการกระทำที่ร้ายกาจของพะนีนา และบันทึกในพระคัมภีร์ก็ไม่ได้บ่งชี้ว่าฮันนาบอกเรื่องนั้นกับสามี. บางทีนางอาจเห็นว่าการเปิดโปงความร้ายกาจของพะนีนามีแต่จะทำให้สภาพการณ์ของนางแย่ลง. เอ็ลคานาจะช่วยนางได้จริง ๆ ไหม? พะนีนาคงจะยิ่งจงเกลียดจงชังฮันนามากขึ้นและลูก ๆ กับคนรับใช้ของพะนีนาก็อาจพลอยเกลียดนางไปด้วย. แล้วฮันนาก็จะยิ่งรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินทั้ง ๆ ที่นางเป็นภรรยาคนแรก.
แม้ถูกปฏิบัติอย่างไม่กรุณา ฮันนาหมายพึ่งพระยะโฮวาเพื่อได้รับการปลอบโยน
8. เมื่อคุณประสบเรื่องเลวร้ายหรือความไม่ยุติธรรม ทำไมการระลึกเสมอว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าผู้ยุติธรรมจึงปลอบโยนคุณ?
8 ไม่ว่าเอ็ลคานาจะรู้เรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่พะนีนาทำหรือไม่ พระยะโฮวาพระเจ้าทรงเห็นทุกสิ่ง. พระคำของพระองค์เปิดเผยเรื่องนี้ ซึ่งเป็นคำเตือนที่หนักแน่นสำหรับใครก็ตามที่ชอบอิจฉาและเกลียดชังผู้อื่น. ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายที่ถูกกระทำและรักสันติอย่างนางฮันนาก็ได้รับการปลอบโยนที่รู้ว่าพระเจ้าผู้ยุติธรรมทรงจัดการเรื่องราวทุกอย่างให้เรียบร้อยในเวลาและวิธีที่พระบัญญัติ 32:4 ) ฮันนาคงทราบเรื่องนี้ดีเพราะนางหันไปขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา.
พระองค์เห็นว่าเหมาะสม. (อ่าน“มิได้เศร้าโศกต่อไป”
9. การที่ฮันนาพร้อมจะเดินทางไปชีโลห์ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพะนีนาจะทำอะไรสอนบทเรียนที่ดีเช่นไรแก่เรา?
9 ตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งครอบครัวยุ่งอยู่กับงาน. ทุกคนกำลังเตรียมตัวเพื่อออกเดินทาง รวมทั้งพวกเด็ก ๆ ด้วย. ครอบครัวใหญ่นี้ต้องเดินทางไกลกว่า 30 กิโลเมตร ผ่านภูมิประเทศที่เป็นหุบเขาในเขตเอฟรายิมเพื่อไปยังชีโลห์. * การเดินทางด้วยเท้าจะใช้เวลาหนึ่งหรือสองวัน. ฮันนารู้ว่าพะนีนาจะทำอะไร. แต่ฮันนาก็ไม่ได้เลือกที่จะอยู่บ้าน. นางจึงเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้รับใช้พระเจ้าในทุกวันนี้. ไม่ฉลาดเลยที่จะปล่อยให้การกระทำที่ไม่ดีของคนอื่นมาขัดขวางเราไว้จากการนมัสการพระเจ้า. ถ้าเราทำเช่นนั้น เราจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเพื่อจะอดทนกับสภาพการณ์ที่ยุ่งยากลำบาก.
10, 11. (ก) ทำไมฮันนาแยกตัวออกมาทันทีที่ทำได้เพื่อไปที่พลับพลาของพระยะโฮวา? (ข) ฮันนาระบายความในใจต่อพระบิดาในสวรรค์อย่างไร?
10 หลังจากเดินทางมาตลอดวันตามทางที่คดเคี้ยวและเป็นภูเขา ครอบครัวใหญ่นี้ก็ใกล้ถึงเมืองชีโลห์. เมืองนี้ตั้งอยู่บนเนินซึ่งแทบทุกด้านล้อมรอบไปด้วยเนินเขาที่สูงกว่า. ขณะที่ใกล้จะถึง ฮันนาคงครุ่นคิดถึงเรื่องที่จะทูลอธิษฐานถึงพระยะโฮวา. เมื่อมาถึง ทั้งครอบครัวก็รับประทานอาหารร่วมกัน. ฮันนาแยกตัวออกมาทันทีที่ทำได้ แล้วไปที่พลับพลาของพระยะโฮวา. ขณะนั้นมหาปุโรหิตเอลีนั่งอยู่ใกล้ ๆ เสาประตู. แต่ฮันนาไม่สังเกตเห็นเขาเพราะนางมุ่งสนใจในเรื่องที่จะทูลอธิษฐาน. นางมั่นใจว่าที่พลับพลาแห่งนี้พระเจ้าจะสดับคำอธิษฐานของนาง. แม้ไม่มีใครเข้าใจความทุกข์ทั้งสิ้นของนาง แต่พระบิดาในสวรรค์ทรงเข้าใจ. นางไม่อาจกลั้นความขมขื่นไว้ได้อีกต่อไป นางจึงร้องไห้ออกมา.
11 ฮันนาร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นขณะที่ทูลอธิษฐานถึงพระยะโฮวาอยู่ในใจ. ปากของนางขมุบขมิบขณะที่คิดหาคำพูดเพื่อพรรณนาความทุกข์ของตน. นางอธิษฐานยืดยาวระบายความในใจต่อพระบิดา. ฮันนาไม่เพียงทูลอ้อนวอนขอให้มีบุตร. นางไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น แต่ต้องการถวายสิ่งที่นางให้ได้แก่พระองค์ด้วย. นางจึงปฏิญาณว่าหากมีบุตรชาย นางจะถวายบุตรนั้นให้รับใช้พระยะโฮวาตลอดชีวิต.—12. จากตัวอย่างของฮันนา เราควรจำอะไรไว้ในเรื่องการอธิษฐาน?
12 นางฮันนาจึงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับผู้รับใช้ของพระเจ้าทุกคนในเรื่องการอธิษฐาน. พระยะโฮวายินดีเชิญประชาชนของพระองค์ให้บอกพระองค์ทุกเรื่องโดยไม่ต้องลังเล และระบายความทุกข์กังวลกับพระองค์เหมือนลูกที่เปิดเผยทุกเรื่องกับพ่อแม่ด้วยความไว้วางใจ. (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 62:8; 1 เทสซาโลนิเก 5:17 ) อัครสาวกเปโตรได้รับการดลใจให้เขียนถ้อยคำที่ให้กำลังใจเกี่ยวกับการอธิษฐานถึงพระยะโฮวาดังนี้: “[จง] ฝากความวิตกกังวลทั้งสิ้นไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงใฝ่พระทัยท่านทั้งหลาย.”—1 เป. 5:7
13, 14. (ก) ทำไมเอลีด่วนสรุปอย่างผิด ๆ เกี่ยวกับฮันนา? (ข) วิธีที่ฮันนาตอบเอลีเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมในด้านความเชื่ออย่างไร?
13 อย่างไรก็ตาม มนุษย์ไม่มีความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจมากเท่ากับพระยะโฮวา. ขณะที่ฮันนาร้องไห้และอธิษฐานอยู่ นางก็ได้ยินเสียงที่ทำให้สะดุ้ง. นั่นคือเสียงของมหาปุโรหิตเอลีซึ่งเฝ้าดูนางอยู่. เขาพูดว่า “จะเมาไปนานสักเท่าไร, จงทิ้งน้ำองุ่นเสียเถิด.” เอลีสังเกตเห็นฮันนาทำปากขมุบขมิบ ร้องไห้สะอึกสะอื้น และมีท่าทางแปลก ๆ. แทนที่จะถามว่านางเป็นอะไร เขาด่วนสรุปว่านางเมาเหล้า.—1 ซามู. 1:12-14
14 ขณะที่กำลังทุกข์ทรมานใจ ฮันนาคงรู้สึกเจ็บปวดเพียงไรที่ถูกกล่าวหาโดยไม่มีเหตุผล อีกทั้งผู้ที่กล่าวหาก็อยู่ในตำแหน่งที่มีเกียรติ! อย่างไรก็ตาม ฮันนาได้วางแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมอีกครั้งหนึ่งในด้านความเชื่อ. นางไม่ปล่อยให้ความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์มาขัดขวางการนมัสการพระยะโฮวา. นางตอบ1 ซามู. 1:15-17
เอลีด้วยความนับถือและอธิบายให้ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง. เอลีจึงตอบนาง อาจจะด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงและรู้สึกผิดว่า “จงไปเป็นสุข, ขอให้พระเจ้าของพวกยิศราเอลทรงโปรดประทาน, ตามที่เจ้าได้อธิษฐานต่อพระองค์นั้น.”—15, 16. (ก) ฮันนารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ระบายความในใจต่อพระยะโฮวาและนมัสการพระองค์ที่พลับพลา? (ข) เราจะทำตามตัวอย่างของฮันนาได้อย่างไรเมื่อต้องรับมือกับความรู้สึกในแง่ลบ?
15 ฮันนารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ระบายความในใจต่อพระยะโฮวาและนมัสการพระองค์ที่พลับพลา? บันทึกกล่าวว่า “แล้วนางก็ลาไปรับประทานอาหาร, โดยหน้าชื่นบานมิได้เศร้าโศกต่อไปอีก.” (1 ซามู. 1:18) ฮันนารู้สึกโล่งใจประหนึ่งว่านางได้ยกภาระที่หนักอึ้งในใจวางไว้บนบ่าที่กว้างและแข็งแรงซึ่งไม่มีผู้ใดเทียบได้ของพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์. (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 55:22 ) มีปัญหาใดที่หนักเกินไปสำหรับพระองค์ไหม? ไม่มีเลย ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต!
16 เมื่อเรารู้สึกหดหู่ท้อใจหรือเป็นทุกข์ นับว่าดีที่เราจะทำตามตัวอย่างของฮันนา และทูลทุกสิ่งต่อผู้ที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่า “ผู้สดับคำอธิษฐาน.” (เพลง. 65:2) ถ้าเราทำเช่นนั้นด้วยความเชื่อ เราจะประสบเช่นกันว่า “สันติสุขของพระเจ้าซึ่งเหนือกว่าความคิดทุกอย่าง” จะเข้ามาแทนที่ความทุกข์ใจของเรา.—ฟิลิป. 4:6, 7
“หามีศิลา (ที่พึ่ง) ดุจดังพระเจ้าของข้าพเจ้าไม่”
17, 18. (ก) เอ็ลคานาแสดงอย่างไรว่าเขาเห็นด้วยกับคำปฏิญาณของฮันนา? (ข) พะนีนาทำอะไรฮันนาไม่ได้อีก?
17 เช้าวันต่อมา ฮันนากลับไปที่พลับพลากับเอ็ลคานา. นางคงบอกเขาแล้วว่าได้ขอและปฏิญาณอะไรไว้กับพระยะโฮวา เพราะตามกฎหมายของโมเซสามีมีสิทธิ์จะทำให้คำปฏิญาณของภรรยาเป็นโมฆะได้หากเขาไม่เห็นด้วย. (อาฤ. 30:10-15) แต่ชายผู้มีความเชื่อนี้ไม่ได้คัดค้านคำปฏิญาณของนาง. แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากับฮันนานมัสการพระยะโฮวาด้วยกันที่พลับพลาก่อนเดินทางกลับบ้าน.
18 พะนีนารู้ตัวเมื่อไรว่าเธอไม่สามารถทำให้ฮันนาทุกข์ใจได้อีกแล้ว? คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้กล่าว แต่วลีที่ว่า “มิได้เศร้าโศกต่อไปอีก” บ่งบอกว่าตั้งแต่นั้นมาฮันนามีความสุขไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป. ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ช้าพะนีนาก็รู้ว่าการกระทำที่ร้ายกาจของเธอไม่มีผลต่อฮันนา. คัมภีร์ไบเบิลไม่พูดถึงเธออีกเลย.
19. ฮันนาได้รับพระพรอะไร และนางแสดงให้เห็นอย่างไรว่านางไม่ลืมว่าได้พระพรนี้มาจากไหน?
19 หลายเดือนผ่านไป สันติสุขในใจของฮันนาเปลี่ยนไปเป็นความยินดีอย่างเหลือล้น. นางตั้งครรภ์! แม้นางจะปีติยินดี แต่นางไม่เคยลืมว่าได้พระพรนี้มาอย่างไร. เมื่อคลอดบุตรชายแล้วนางตั้งชื่อบุตรว่า ซามูเอล ซึ่งมีความหมายว่า “พระนามของพระเจ้า” และเห็นได้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการร้องเรียกพระนามของพระเจ้าอย่างที่นางฮันนาได้ทำ. ในปีนั้น นางไม่ได้ไปชีโลห์ร่วมกับเอ็ลคานาและครอบครัว. นางอยู่ที่บ้านกับลูกน้อยเป็นเวลาสามปีจนเขาหย่านม. การทำเช่นนั้นช่วยให้นางมีจิตใจเข้มแข็งเพื่อจะรับมือได้ในวันที่ต้องจากลูกชายสุดที่รัก.
20. ฮันนาและเอ็ลคานาทำตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับพระยะโฮวาอย่างไร?
20 ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ต้องจากกัน. จริงอยู่ ฮันนา
รู้ว่าซามูเอลจะได้รับการดูแลอย่างดีที่ชีโลห์ อาจโดยผู้หญิงที่รับใช้อยู่ที่พลับพลา. แต่เขายังเด็กมาก และมีแม่คนไหนบ้างที่ไม่อยากอยู่กับลูกน้อยของตน? ไม่ว่าจะอย่างไร ฮันนากับเอ็ลคานาก็พาลูกชายไปที่นั่น ไม่ใช่ด้วยฝืนใจแต่ด้วยความสำนึกบุญคุณที่มีต่อพระเจ้า. พวกเขาถวายเครื่องบูชาที่พระนิเวศของพระเจ้า มอบซามูเอลให้เอลีและบอกเขาเกี่ยวกับคำปฏิญาณที่ฮันนาให้ไว้เมื่อสามปีก่อน.21. คำอธิษฐานของฮันนาแสดงอย่างไรว่านางมีความเชื่อที่ลึกซึ้งต่อพระยะโฮวา? (ดูกรอบ “คำอธิษฐานสองครั้งที่โดดเด่น” ด้วย)
21 หลังจากนั้น ฮันนาได้กล่าวคำอธิษฐานซึ่งพระเจ้า1 ซามูเอล 2:1-10 คุณจะเห็นว่าทุกบรรทัดสะท้อนให้เห็นความเชื่อที่ลึกซึ้งของนาง. นางสรรเสริญพระยะโฮวาเพราะพระองค์ทรงใช้ฤทธิ์อำนาจอย่างน่าอัศจรรย์ คือทรงใช้ความสามารถซึ่งไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนทำให้ผู้หยิ่งจองหองตกต่ำลง อวยพรผู้ถูกกดขี่ และประหารชีวิตหรือกระทั่งช่วยคนให้รอดจากความตาย. นางยกย่องพระบิดาเนื่องด้วยความบริสุทธิ์ ความยุติธรรม และความซื่อสัตย์ของพระองค์. ฮันนามีเหตุผลที่ดีที่กล่าวว่า “หามีศิลา (ที่พึ่ง) ดุจดังพระเจ้าของข้าพเจ้าไม่.” พระยะโฮวาทรงเป็นผู้ที่ไว้วางใจได้อย่างแท้จริงและไม่แปรเปลี่ยน ทรงเป็นที่พึ่งสำหรับทุกคนที่ถูกกดขี่และตกทุกข์ได้ยากซึ่งหันมาขอความช่วยเหลือจากพระองค์.
ถือว่ามีค่าควรบันทึกไว้ในพระคำที่มีขึ้นโดยการดลใจ. ขณะที่คุณอ่านคำอธิษฐานของนางซึ่งบันทึกที่22, 23. (ก) ทำไมเรามั่นใจว่าซามูเอลเติบโตขึ้นโดยรู้ว่าพ่อแม่รักเขา? (ข) ฮันนาได้รับพระพรอะไรอีกจากพระยะโฮวา?
22 ช่างวิเศษจริง ๆ ที่เด็กน้อยซามูเอลมีแม่ที่มีความเชื่อเต็มเปี่ยมในพระยะโฮวา. แม้ว่าเขาคงคิดถึงนางแน่ ๆ ขณะที่เติบโตขึ้น แต่เขาไม่เคยรู้สึกว่าถูกลืม. ทุกปี ฮันนาจะกลับมาที่ชีโลห์และเอาเสื้อชุดไม่มีแขนมาให้ซามูเอลใส่ในการรับใช้ที่พลับพลา. ทุก ๆ รอยตะเข็บเป็นหลักฐานถึงความรักความห่วงใยที่นางมีต่อลูกชาย. (อ่าน 1 ซามูเอล 2:19 ) เราคงนึกภาพได้ว่านางสวมเสื้อตัวใหม่ให้ลูกชาย จัดให้เรียบร้อย แล้วมองดูเขาด้วยความรักพร้อมกับพูดหนุนใจอย่างอ่อนโยน. ช่างเป็นพระพรจริง ๆ ที่มีแม่เช่นนี้ ซามูเอลเติบโตขึ้นเป็นผู้ที่นำความยินดีมาสู่พ่อแม่และทำให้ชาวอิสราเอลทั้งปวงได้รับพร.
23 พระเจ้าไม่ทรงลืมฮันนาเช่นกัน. พระยะโฮวาอวยพรให้นางมีบุตรกับเอ็ลคานาอีกห้าคน. (1 ซามู. 2:21) แต่พระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับฮันนาคงเป็นสายสัมพันธ์ที่นางมีกับพระยะโฮวาพระบิดาของนางซึ่งแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป. ขอให้คุณได้รับพระพรเช่นนั้นด้วยขณะที่คุณเลียนแบบความเชื่อของฮันนา.
^ วรรค 7 แม้บันทึกในพระคัมภีร์กล่าวว่าพระยะโฮวาได้ ‘ปิดครรภ์ของฮันนาไว้’ แต่ไม่มีหลักฐานใดแสดงว่าพระเจ้าไม่พอพระทัยสตรีผู้ซื่อสัตย์และถ่อมใจคนนี้. (1 ซามู. 1:5) บางครั้งพระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น แต่ที่จริงแล้วพระองค์เพียงแต่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง.
^ วรรค 9 การคำนวณระยะทางเช่นนี้อาศัยความเป็นไปได้ที่ว่า เมืองรามาห์บ้านเกิดของเอ็ลคานาอาจเป็นที่เดียวกับเมืองอะริมาเทียในสมัยพระเยซู.